ดัชนีชี้ ไทยลีก ขยับขึ้นสู่อีกระดับ!

   แม้ว่าจะมีเพียงกระต่ายแก้วที่สามารถผ่านสู่รอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จ กับการบุกไปเฉือนชนะ เซี่ยงไฮ้ พอร์ท จ่าฝูง ไชนีส ซูเปอร์ ลีก 3-2 แต่อีกคู่ที่สิงห์เจ้าท่าปราชัยต่อ เจ้อเจียง เอฟซี นั้นยอดทีมแห่งย่านคลองเตยก็ไม่ได้มีรูปเกมที่เป็นรองเลยสักนิด

   เผลอๆ อาจจะดีกว่าเจ้าถิ่นเสียด้วยซ้ำ

   สำหรับ บีจี ปทุม นั้นต้องถือว่าพวกเขาสามารถผ่านห้วงเวลาที่จัดว่า 'วิกฤติ' มาได้แบบเฉียดฉิว เนื่องจากก่อนจะมาบุกแดนมังกร เดอะ แรบบิต ต้องพบกับความกัดดนมหาศาล เพราะในลีกเสมอรวด 2 เกม

   ด้วยงบประมาณที่หว่านลงไปมหาศาล แต่ผลงานในสนามนั้นสวนทางกับเม็ดเงินที่ลงทุนไป มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นแบบไม่อาจหลีกเลี่ยง

   ธงชัย สุขโกกี ผู้เป็นกุนซือจึงถูกตั้งคำถามว่า 'ดีพอ' สำหรับการเป็นแม่ทัพกระต่ายแก้วหรือเปล่า?

   เกมกับ เซี่ยงไฮ้ เขาก็ยังยึด 11 ตัวจริงจากนัดที่เจ๊า ประจวบ เอฟซี 0-0 ด้วยการให้ พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล ลงสนามในตำแหน่งฟูลแบ็กฝั่งซ้าย แต่มีการขยับเล็กน้อยตรงที่เอา อิกอร์ เซอร์เกเยฟ ไปยืนเป็นหัวหอกตัวเป้า พร้อมถอย ธีรศิลป์ แดงดา ลงมาเป็นกองหน้าตัวต่ำ

   เชื่อว่าแฟนๆ คงจะส่ายหน้าเป็นทิวแถว เนื่องจากเห็นๆ กันอยู่ว่าระบบนี้มันไม่เวิร์กเท่าไหร่ ขนาดเล่นกับต่อพิฆาตยังยิงไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับจ่าฝูงลีกจีนที่นำโด่งในตารางถึง 12 คะแนน

   ทุกคำค่อนขอดถูกตอบกลับด้วยผลการแข่งขัน

   5 นาทีแรกของการแข่งขันอาจจะเป็นเจ้าบ้านที่เปิดหน้าบดใส่ทันที แต่หลังที่ บีจี ปทุม ตั้งหลักได้ ที่เหลือคือความยอดเยี่ยมของนักเตะและแท็กติกที่ได้ผลชะงัดเชียว

   สกอร์ 3-2 ที่ออกมาอาจจะดูหวุดหวิด แต่รูปเกมการแข่งขันนั้นต้องยอมรับว่ากระต่ายแก้วทำได้ดีมากๆ แผงหลังแข็งแกร่ง แดนกลางสอดประสานลงตัว และพื้นที่สุดท้ายปิดสกอร์ได้เฉียบขาด มันจึงนำมาซึ่งชัยชนะที่สวยงาม

   แม้ เซอร์เกเยฟ จะเป็น 'แฮตทริก ฮีโร่' ทว่าชื่อของ ธีรศิลป์ ก็ไม่ควรถูกลืมเลือนจากเกมบุกชนะ เซี่ยงไฮ้ เช่นกัน 

   อดีตศูนย์หน้า อัลเมเรีย แสดงให้เห็นถึง 'คลาส' ฟุตบอลที่ร้ายกาจ ไม่ต้องมากจังหวะ แต่ทุกครั้งที่บอลอยู่ในเท้า เขาสามารถสร้างความแตกต่างได้เสมอ

   ในวัย 35 ปี อาจจะเป็นช่วงปลายอาชีพค้าแข้ง แต่ถ้ายังเล่นได้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ยังไงเสีย บีจี ปทุม ก็ต้องเก็บไว้ใช้งาน เพราะประโยชน์ของ ธีรศิลป์ นั้นมีมหาศาล

   อีกจุดหนึ่งที่ต้องชื่นชม เดอะ แรบบิต คือ 'ความนิ่ง' ในเกมสุดกดดัน เพราะแทบไม่เห็นอาการลนลานจากบรรดาแข้งกระต่ายแก้วเลยสักนิด

   ประสบการณ์ของ ฉัตรชัย บุตรพรม, สารัช อยู่เย็น และ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ทำให้รูปแบบของทีมไม่ออกทะเล พวกเขาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการบุกชนะ เซี่ยงไฮ้ อย่างแท้จริง

   ข้ามไปที่ฟาก การท่าเรือ ที่อาจจะอกหักกับการปราชัยต่อ เจ้อเจียง 0-1 แต่ถ้าใครได้ชมเกมการแข่งขัน คงต้องบอกว่า 'น่าเสียดาย' แทนสิงห์เจ้าท่าจริงๆ เพราะพวกเขาทำได้ดีทีเดียว

   ตลอดทั้ง 90 นาที ที่ หูโจว โอลิมปิก สปอร์ตส์ เซนเตอร์ นั้นยอดทีมแห่งย่านคลองเตยทำได้ตามแท็กติกทุกอย่าง เกมรับแน่น แดนกลางไหลลื่น ขาดเพียงอย่างเดียวที่แดนหน้าไม่สามารถปิดบัญชีได้เท่านั้นเอง

   ความผิดพลาดเพียงหนเดียวกับการปล่อยให้ ฟรานโก้ อันดริยาเซวิช ปั่นโค้งๆ จากนอกกรอบเขตโทษทำให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด

   แต่เมื่อมองภาพรวม การท่าเรือ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้ บีจี ปทุม เหมือนกัน

   จากผลงานของ 2 ตัวแทนจากเมืองไทย ในถ้วยใหญ่ของเอเชีย แม้จะผ่านสู่รอบต่อไปได้เพียงหนึ่ง แต่สิ่งที่สโมสรจากดินแดนขวานทองแสดงให้เห็นคือ 'พัฒนาการ' ที่ก้าวไปข้างหน้าแบบชัดเจน

   ก่อนหน้านี้มีเพียง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมเดียวเท่านั้นที่ผ่านรอบเพลย์-ออฟนี้ไปได้ (2013, ชนะจุดโทษ บริสเบน โรร์ 3-0) ที่เหลือคือตกรอบแบบเรียบวุธ มีใกล้เคียงหน่อยคือ เชียงราย ยูไนเต็ด เมื่อปี 2019 ที่แพ้จุดโทษ ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิมะ (ญี่ปุ่น)

   บีจี ปทุม เองก็เคยมาเล่นรอบนี้แล้วครั้งหนึ่งในปี 2015 โดยตอนนั้นยังใช้ชื่อ บางกอกกล๊าส เอฟซี แต่ก็แพ้ต่อ ปักกิ่ง กั๋วอัน ไปสบายๆ 0-3

   ดังนั้นผลงานของสโมสรไทย ในรอบเพลย์-ออฟของ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2023-24 จึงถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว และมันแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาเชิงบวก ซึ่งถ้าสามารถรักษามาตรฐานนี้ได้ รวมทั้งต่อยอดจากที่เป็นอยู่ รับประกันเลยว่า 'ความฝัน' ที่ชาวสยามปรารถนาที่สุดคงจะเป็นจริงในสักวันหนึ่งข้างหน้า

   เท่ากับว่าถ้วยใหญ่ของเอเชีย ในฤดูกาลนี้จะมี 3 ตัวแทนจากแดนขวานทองไปโชว์ฝีเท้า ได้แก่ บุรีรัมย์, แบงค็อก ยูไนเต็ด และ บีจี ปทุม ซึ่งก็หวังว่าพวกเขาจะทำผลงานได้ดีในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีป 

   ไทยลีก ขยับขึ้นสู่อีกระดับแล้วล่ะ

ชิกกะด้าว