คืนยุโรป มักจะเป็นอะไรที่พิเศษแตกต่าง ยิ่งถ้าคุณต้องเฝ้ารอมานานเกิน 20 ปี กว่าจะได้หวนกลับมาเล่นถ้วยหูกาง แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง แบบสาวกทูน อาร์มี่ ด้วยแล้ว
ใครคนนี้ พอจะนึกภาพการรวมกลุ่มกลางเมืองมิลาน หรือแถวซานซีโร่ สเตเดี้ยม อาจจะส่งเสียงร้อง “Anthony Gordon, running down the wing, Gordon, makes the Geordies sing, Gordon, …….”
หรืออะไรอย่าง “Sandro Tonali, Saaaaaandro Tonali,
He drinks Moretti and eats spaghetti,
(สำคัญสุด อาจอยู่บรรทัดต่อไป)
He hates f****** Sunderland”
บางที ซานโดร โตนาลี ถึงตอนนี้ ก็ยังไม่อินว่า ทำไมต้องไปพาดพิง ซันเดอร์แลนด์ ฮ่าๆ
ส่วน เบียร่า โมเรตติ ที่ก่อกำเนิดกว่า 164 ปีก่อนนั้น เป็นเบียร์สัญชาติอิตาเลี่ยน ที่เห็นตามพับลิค เฮ้าส์ (Pub) ทั่วยูเค มากขึ้น มากขึ้น
ไอ้เราก็รู้จักแบรนด์นี้ไม่กี่ปีหรอก ทั้งๆ ที่ ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจนี้ ไฮเนเก้น สัญชาติดัตช์เป็นเจ้าของโมเร็ตติ ก่อนที่ผมจะเริ่มมาเป็นนักข่าวต๊อกต๋อยประจำกรุงลอนดอนเสียอีก
เคยมีความรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจ ทุกธุรกิจไม่ควรผูกขาด หากในโลกเสรี ถ้าคุณมองไปที่สินค้าแบรนด์เนม สาวๆ อยากถือกระเป๋าอะไรที่ไม่ใช่ หลุยส์ วิตตอง, สุดท้ายเงินก็เข้ากระเป๋าเจ้าของหลุยส์ อยู่ดี !
เครื่องดื่มสีอำพัน (ส่วนใหญ่) ก็เช่นเดียวกัน ไม่รู้ข้อมูลล่าสุดเป็นเช่นไรนะ แต่ช่วงโควิดมาใหม่ๆ ไปไหนไม่ได้ ก็เลยเก็บตัวเขียนหนังสือชุด ลิตเติ้ลโจ IN ENGLAND (ใครไม่มี 10 เล่ม ของชุด 23 ปี และ 6 เล่มของชุด 25 ปี ต้องรีบสั่งจาก Aladinonline นะ … ปฏิบัติ !!) และก็อ่านหนังสือ ก็ไปเจอว่า ไฮเนเก้น เป็นเจ้าของโรงเบียร์เกิน 170 ยี่ห้อ ใน 70 ประเทศทั่วโลก
ที่แอบคิดไว้ก่อน หากไม่อยากให้เกิดขึ้น แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ นั่นก็คือ แฟนบอลอังกฤษโดนทำร้าย ก็ไม่รู้เป็นอะไรนะครับ ทีมแถวนี้ไปเยือนดินแดนรองเท้าบู้ตเมื่อไหร่ มักจะมีคดี — โชคดีที่หนนี้ รายงานว่าแฟนทูนวัย 58 ที่โดนแทง อาการปลอดภัยหลังจากนำส่งโรงพยาบาล คืนก่อนหน้าแม็ตช์ เอซีมิลาน - นิวคาสเซิ่ล แม็ตช์ 1 ของกรุ๊ป สเตจ
ตอนนักเตะยืนเรียงแถว เสียงเพลงแชมเปี้ยนส์ ลีก ดังกระหึ่ม เห็นเจค็อบ เมอร์ฟี่ ผู้เล่นที่ผมรู้สึกเซอร์ไพรส์ที่ลงสิบเอ็ดคนแรก ใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับโยกตัวตามเสียงเพลง
(อาจจะลำเอียงไปทาง มิเกล อัลมิรอน นิดๆ)
ช่องถ่ายทอดสดในอังกฤษ TNT Sports , ซึ่งเปลี่ยนชื่อจาก บีที สปอร์ตส์ เอาชื่อผู้เล่นตัวจริงสาลิกาดง ที่ลงเตะเกมชปล. แม็ตช์สุดท้าย เตะกับบาร์เซโลน่า ในปี ค.ศ. 2003 มาให้ดู
ถ้าเป็นแฟนบอลรุ่นเก่า น่าจะยังพอคุ้นหน้าแนวกลาง + กองหน้า ได้นะครับ ส่วนกองหลังในทีมของกุนซือ เซอร์บ๊อบบี้ ร็อบสัน อ่อนไปหน่อย
ผู้รักษาประตู เชย์ กิฟเว่น ; แอนดี้ กริฟฟิน, แอนดี้ โอไบรอัน, ไททัส แบรมเบิ้ล และ โอลิวิเย่ร์ แบร์นาร์ด ; โนลเบอร์โต้ โซลาโน่, คีรอน ดายเออร์, เจอร์เมน จีนาส, โลร็องต์ โรแบร์; กัปตัน อลัน เชียเรอร์ คู่หน้ากับ เคร็ก เบลลามี่
สมัยนั้นระบบการแข่งขันแตกต่างนะครับ นิวคาสเซิ่ล ที่ต้องเตะรอบคัดเลือกรอบสาม ก่อนเข้ากรุ๊ปสเตจ (แบ่งกลุ่ม) , พอผ่านกรุ๊ป สเตจ แบบไม่น่าผ่าน เพราะแพ้รวด 3 นัดแรก เข้ารอบมาได้ ยูเอฟ่าจัดระบบแบ่งกลุ่มอีกรอบนึง และนั่นรู้สึกว่าเป็น ‘กลุ่มโหด’ แบบทีมของ เอ๊ดดี้ ฮาว ต้องเผชิญเลย
2 ทศวรรษก่อน ทีมของเซอร์บ๊อบบี้ ต้องเตะกับ อินเตอร์ มิลาน, บาร์เซโลน่า และ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น คราวนี้ ที่กรุ๊ป สเตจ มีแค่รอบเดียว โชคดีเหลือหลายได้อยู่กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และหนีไม่พ้นทีมจากมิลาน เพียงแต่เปลี่ยนสีเป็น ปีศาจแดง-ดำ ที่เข้าถึงรอบเซมิไฟนั่ล ฤดูกาลก่อน
จบเกมเมื่อคืนวันอังคาร ต้องยอมรับว่าทีมของเอ๊ดดี้ ฮาว โชคดีแล้ว ที่มี 1 แต้ม! ต้องขอบคุณซูปเปอร์สตาร์ ราฟาเอล เลเอา เลี้ยงหลบสวยๆ แทนที่จะจบแบบคมคม ดันท่าเยอะไปหน่อย ตอกส้นแล้วดันวืดซะ
และก็ไม่ใช่แค่ดาวเตะโปรตุกีสนะขอรับ เอซีที่เพิ่งโดนเพื่อนร่วมเมือง อินเตอร์ ถล่ม ขาดความคมกันถ้วนหน้า ยิงไม่หนีตัว นิค โพ้พ สักเท่าไหร่ สุดท้ายผลก็เลยไม่ตรงกับรูปเกมที่เกิดขึ้น
แต่ถึงกระนั้น เห็นคอมเมนต์ที่วิจารณ์ใส่ นักเตะสาลิกาดง ที่ใช้ชุดแรกในเวที ชปล. เป็น โพ้พ; คีแรน ทริปเปียร์, ฟาเบียน แชร์, สเวน บอตแมน, แดน เบิร์น ; ฌอน ลองสต๊าฟฟ์, บรูโน่ กิมาไรส์, โตนาลี (คืนรัง); เมอร์ฟี่ย์, อเล็กซานเดอร์ อิซัค และ กอร์ดอน ทำนองว่า “เล่นแย่กันแบบนี้ ไม่สมควรมาแข่งชปล. เลย” หรืออะไรที่อาจจะรุนแรงกว่านั้น ก็ได้แต่ส่ายหน้า
คือผมก็รู้สึกว่า นักเตะหลายคนสาลิกา ถ้าย้อนไปเพียงแค่ปี สองปี ก็ไม่นึกกันหรอกว่า จะได้มีโอกาสเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่าง เมอร์ฟี่ ที่โยกตัวตามเสียงเพียง แดน เบิร์น ตัวประกอบที่ไบรท์ตัน ลงบ้าง สำรองบ้าง หรือลองสต๊าฟ เด็กท้องถิ่น
ทว่า พวกเขาเหล่านี้ต่างมีส่วนช่วยในการพา นิวคาสเซิ่ล กลับคืนเวทีใหญ่สุดของสโมสรยุโรป ก็สมควรแล้วหล่ะ ที่จะได้ลงมาวาดลีลา เรารู้กันตั้งแต่แรกว่าพวกเค้ามีตัวประมาณไหน, แต่ฟุตบอล มันมีวิธีเล่นฮะ ..
แน่นอนว่า นิวคาสเซิ่ลต้องเค้นฟอร์มที่เจ๋งกว่านี้ ปรับตัวให้ได้กับการที่คุณต้องสลับเตะไปเรื่อยๆ ระหว่างแม็ตช์พรีเมียร์ลีก และถ้วยยุโรป ซึ่งพอเหลียวมองม้านั่งที่ ซาน ซีโร่ แล้ว ก็มองในแง่บวกไม่ได้เต็มที่นัก
สำคัญเลย เกมในรังเหย้า เซนต์ เจมส์ พาร์ค, คุณต้องมีของ แฟนและนักเตะ ประสานกัน เสียงเชียร์ดังๆ น่าจะช่วยข่มขวัญคู่แข่ง และปลุกเร้าผู้เล่นตัวเองได้
ตรงนี้ อยากจะบอกว่า ซีซั่นก่อนที่แมนฯ ซิตี้ เป็นเจ้ายุโรป เกม away ก็ยากจะเอาชนะคู่แข่งนะครับ ในรอบแบ่งกลุ่ม หลังจากสตาร์ทด้วยการบุกไปถล่ม เซบีญ่า พอออกนอกบ้านเกมต่อมา ก็ทำได้แค่เสมอโคเปนเฮเก้น และ ดอร์ทมุนด์
ถึงน็อคเอ้าต์ ไปเยือน ไลป์ซิก, บาเยิร์น มิวนิค จนถึงตัดเชือก เรอัล มาดริด ไม่มีคว้าชัยชนะเลย (แต่เรือใบแข็งพอที่จะเสมอกลับมาได้หมด)
ย้อนไปปีที่ลิเวอร์พูล เป็นเจ้ายุโรป ปี 2019 ในกรุ๊ปสเตจ เกมเยือนไม่ต้องพูดถึงขอรับ ออกไปแพ้ นาโปลี, เร้ด สตาร์ เบลเกรด และ เปแอสเช สมบูรณ์แบบเลย เล่นไปเรื่อยๆ จนถึงรอบตัดเชือก ก็ออกไปโดน บาร์ซ่า อัดเละ 3-0 และควรจะมากกว่านั้นด้วย
คือก็ไม่ได้คิดว่า นิวคาสเซิ่ล จะไปไกลแบบนั้นบ้างหรอก แต่บางที เล่นแย่แต่ยังได้ “หนึ่งแต้ม” ในการเดินทางหนแรก ในรอบ 20 ปีกว่าปี บางทีก็ยังดีกว่า การไปเยือน ซานซีโร่ ครั้งก่อน ที่ ฮ็อต ช็อต อุตส่าห์ยิงนำ 2 ครั้ง 2 ครา ดันโดนอินเตอร์ แบ่งแต้มได้, ทำให้นัดสุดท้าย ไปเตะกับบาร์ซ่า ด้วยชุดที่อ้างถึงข้างต้น เจอสถานการณ์ลำบาก และก็แพ้ไป
(เยือนซานซีโร่ 20 กว่าปีก่อน ก็ใช้ชุดตัวจริงคล้ายๆ เตะกับบาร์ซ่า เลย แตกต่างแค่กลางเป็น แกรี่ สปีด แทน ดายเออร์)
เอาน่า ถือว่าให้เวลาสาลิกา เค้าสักนิด อย่าเพิ่งไปพิพากษาเร็วเกินไป บางที บรรยากาศดีๆ ที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค อาจจะทำให้นิวคาสเซิ่ล มีคืนที่น่าจดจำได้บ้าง ..
สโมสรอังกฤษ มันต้องมีสักท่า สามท่า สิน่า …
ลิตเติ้ลโจ