ลิเวอร์พูล กลับคืนสู่เส้นทางแห่งชัยชนะได้ตามคาดเมื่อเปิดบ้านสยบ เรนเจอร์ส ได้สำเร็จด้วยสกอร์ 2-0 จากการฟาดแข้งถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดที่สามที่สนาม แอนฟิลด์ เมื่อวันอังคารที่ 4 ต.ค.
จากรูปเกมที่ปรากฏ บอกได้เลยว่า หงส์แดง เอาชนะทีมจากลีกวิสกี้ได้น้อยเกินไปเนื่องจากมีโอกาสเช็คบิลมากถึง 23 ครั้ง และส่งบอลเข้ากรอบได้ 10 ครั้ง แต่ได้มาแค่สองประตูจากต้นครึ่งแรก และต้นครึ่งหลัง
1.ระบบใหม่ 4-2-3-1
หลังทำได้แค่เสมอกับ ไบรท์ตัน 3-3 ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดก่อนหน้านี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือทีม ลิเวอร์พูล ก็ทำเซอร์ไพรส์เล็กๆด้วยการปรับระบบการเล่นจากหมากเก่ง 4-3-3 มาเป็น 4-2-3-1 เน้นบุกแหลกเต็มสูบ
จากการเผยรายชื่อ 11 นักเตะในเกมบู๊กับ เรนเจอร์ส เป็นที่สังเกตว่านายใหญ่ชาวเมืองไส้กรอกตัดสินใจใช้งาน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ติอาโก้ เป็นสองกองกลางโดยมีสี่ตัวรุกลงเล่นอย่างพร้อมเพรียงทั้ง ดีโอโก้ โชต้า , หลุยส์ ดิอาซ และ โม ซาลาห์ ขณะที่ ดาร์วิน นูนเญซ สวมบทหน้าเป้า
จากการวางหมากดังกล่าว เท่ากับว่า หงส์แดง ปรับโผจากเกมเสมอกับ นกนางนวล ในบ้านสามรายโดยเลือกใช้งาน นูนเญซ , โชต้า และ ดิอาซ แทนที่ บ๊อบบี้ ฟีร์มิโน่ ,ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ และ ฟาบินโญ่
2.เทรนต์ เรียกคืนความมั่นใจ
เปิดฉากมาได้แค่ 7 นาที เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ แบ็คขวาจอมรั่วของ ลิเวอร์พูล ก็โชว์ลูกเก่งปั่นฟรีคิกระยะ 25 หลาตุงตาข่ายให้ทีมเจ้าบ้านนำเร็ว 1-0
จากผลงานดังกล่าวทำให้ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ กระทุ้งลูกฟรีคิกตุงตาข่ายเป็นเม็ดที่หกในทุกรายการแล้วนับตั้งแต่เริ่มต้นซีซั่น 2016/17 ซึ่งเหนือกว่าขุนพล หงส์แดง ทุกรายในช่วงเวลาเดียวกัน
แน่นอนเหลือเกินกว่าประตูนำของดาวเตะอิงลิชส่งผลให้เขามีความมั่นใจมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยหลังจากหลายนัดที่ผ่านมาเจ้าตัวโชว์ฟอร์มได้อย่างย่ำแย่ โดยเฉพาะการเล่นเกมรับที่ไม่รัดกุมกระทั่งชวดได้ลงสนามให้ทีมชาติ อังกฤษ ในสองเกมหลังจนถูกมองว่ามีสิทธิ์หลุดโผทีมชาติ สิงโตคำราม ชุด ฟุตบอลโลก ไม่น้อย
อย่างไรก็ดี อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ยังต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไปในการเล่นเกมรับซึ่งเป็นหน้าที่หลัก และเป็นหัวใจสำคัญของกองหลังซึ่งหากเขาปรับปรุงข้อด้อยในจุดนี้ได้สำเร็จก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะผงาดขึ้นเป็นฟูลแบ็คที่สมบูรณ์แบบ นอกเหนือจากการแอสซิสต์ และการเล่นลูกนิ่งซึ่งเป็นทีเด็ดเฉพาะตัวของเขา
3.สถิติที่รอ ซาลาห์ ทำลาย
ถึงตอนนี้ โม ซาลาห์ ซัดประตูในกม แชมเปี้ยนส์ลีก ให้กับ เร้ด แมชีน ได้เป็นเม็ดที่ 35 แล้วหลังสังหารลูกโทษช่วงต้นครึ่งหลังไม่พลาดพาทีมนำห่าง 2-0
จากตัวเลขดังกล่าว ทำให้ดาวยิงทีมชาติ อียิปต์ ไล่จี้สถิติของทีมจากอังกฤษได้อย่างกระชั้นชิดมากขึ้นเนื่องจาก ดิดิเยร์ ดร็อกบา (เชลซี) กับ เซร์คิโอ อเกวโร่ (แมนฯ ซิตี้) เป็นเจ้าของสถิติยิงประตูในถ้วยหูใหญ่คู่กันที่จำนวน 36 ลูก
4.นูนเญซ ก็แค่โชคร้าย?
นับตั้งแต่ย้ายมาจาก เบนฟิก้า ด้วยค่าตัวมหาศาล สตาร์ทีมชาติ อุรุกวัย ได้ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล ไปแล้วเจ็ดนัดในทุกรายการ และยิงได้สองประตู
รวมกับเกมล่าสุด นูนเญซ ได้ลงบู๊ให้ หงส์แดง เป็นนัดที่แปด และเจ้าตัวมีโอกาสเพิ่มสกอร์ให้กับตัวเองหลายต่อหลายครั้งในเกมต่อกรกับ เรนเจอร์ส แต่โดน อัลลัน แม็คเกอร์เกอร์ เซฟได้เรียบวุธตลอดระยะเวลา 80 นาทีที่ได้อยู่ในสนาม
มองจากฟอร์มการเล่น น่าจะถือได้ว่า นูนเญซ โชคร้ายอยู่เหมือนกันที่ แม็คเกรเกอร์ เกิดผีเข้าเซฟประตูได้อย่างยอดเยี่ยมเพราะหากเป็นวันอื่น หัวหอกอเมริกาใต้ก็น่าจะมีชื่อบนสกอร์บอร์ดกับเขาด้วยอย่างแน่นอนที่สุด
5.แม็กเกรเกอร์ ผู้แพ้ที่เด่นกว่าผู้ชนะ
ก่อนหน้าที่จะบุกมาต่อกรกับ ลิเวอร์พูล เรนเจอร์ส แพ้ยับทั้งสองเกมแรกโดยพวกเขาออกไปโดน อาแจ็กซ์ ขยี้ 4-0 ก่อนเล่นในบ้านถูก นาโปลี ยกทัพมาอัดอีก 3-0
อย่างไรก็ดี แม้จะแพ้เป็นนัดที่สามติดต่อกัน แต่ทีมจากเมืองน้ำเมาเสียท่าให้กับ ลิเวอร์พูล 2-0 เท่านั้นทั้งๆที่โดนส่องยิงเป็นชุดๆ
เท่ากับว่า เรนเจอร์ส ไม่มีสกอร์เลยจากการลงสนามสามนัดแรก และเสียไปทั้งหมด 9 ลูก แต่ในเกมที่ แอนฟิลด์ กลายเป็นว่าคนที่โดดเด่นที่สุดไม่ใช่นักเตะเจ้าถิ่น แต่ได้แก่ อัลลัน แม็คเกรเกอร์ มือกาววัย 40 ปีของทีมเยือนต่างหาก
ทั้งนี้เพราะนับตั้งแต่ ลิเวอร์พูล ได้ประตูขึ้นนำเร็ว โอกาสที่พวกเขาจะเพิ่มสกอร์ได้มีให้เห็นอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งแรกซึ่ง หงส์แดง ครองบอลได้แบบเบ็ดเสร็จในสัดส่วน 70:30% อีกทั้งทีมดังของ พรีเมียร์ลีก ได้โอกาสส่องยิงมากถึง 13 ครั้ง ต่างกับ เรนเจอร์ส ที่ได้ลุ้นสองหน แต่ไม่เข้ากรอบเลย
อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องน่าอึดอัดที่เจ้าบ้านคลำเป้าได้แค่เม็ดเดียวตลอด 45 นาทีแรกเนื่องจาก แม็คเกรเกอร์ โชว์เหนียวปัดป้องลูกยิงได้มากถึงเจ็ดครั้ง โดยเฉพาะการปฏิเสธไม่ให้ ดาร์วิน นูนเญซ ได้เฮทั้งๆที่ศูนย์หน้าละตินสบโอกาสสับไกอย่างถี่ยิบรวมถึงครึ่งหลังด้วยเช่นกัน
ในทางกลับกัน แม้ตลอดครึ่งแรก อลิสซง ผู้รักษาประตูของ ลิเวอร์พูล จะไม่ต้องออกแรงเซฟเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ในช่วงท้าย นายด่านตาข่ายชาวเมืองกาแฟงัดความเหนียวออกมาป้องกันลูกอันตรายให้กับ หงส์แดง ได้ถึงสองหน ช่วยให้ทีมกลับมาเก็บคลีนชีตได้อีกครั้งอย่างที่ คล็อปป์ ปรารถนาจึงต้องถือว่าเขายังรักษามาตรฐานการเล่นได้เป็นอย่างดีแม้ซีซั่นนี้ต้นสังกัดจะมีผลงานที่แกว่งไปแกว่งมาก็ตาม