15 ปีแห่งการรอคอยสิ้นสุดจากความเก่งกาจล้วนๆ!

15 ปีแห่งการรอคอยสิ้นสุดจากความเก่งกาจล้วนๆ!
แล้วมันก็จบลงอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด..

ทีมที่ดีที่สุดทั้งในด้านความรู้สึกของผู้คนจำนวนมากและผลงานที่จับต้องได้จริงประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็น

ไม่มีพลิกผัน ไม่มีพลิกโผ

ไม่มีอีกแล้วน้ำตาแห่งความชอกช้ำ.. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สิ้นสุดการรอคอยของตัวเองได้เช่นกัน

มันเป็นฤดูกาลที่จบการรอคอยยาวนานของบางทีม ลูตัน ทาวน์ เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดในรอบ 31 ปี นาโปลีคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ในรอบ 33 ปี เวสต์แฮม ยูไนเต็ด คว้าแชมป์สโมสรยุโรปในรอบ 58 ปี

เป๊ป และ แมนฯ ซิตี้ อาจไม่ได้รอแชมป์ยุโรปนานขนาดนั้น เป๊ปรอมา 12 ปีนับจากครั้งล่าสุดที่เขาได้โอบกอดโทรฟี่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ขณะที่ทีมเรือใบสีฟ้าอาจจะเคยไปเล่นยูโรเปี้ยน คัพมาแล้วเมื่อฤดูกาล 1968/69 ในฐานะแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งอังกฤษซึ่งผลลงเอยด้วยการถูก เฟเนร์บาห์เช่ ของตุรกีเขี่ยตกรอบแรก แต่ถ้าจะพูดว่าการรอคอยแชมป์ยุโรปของพวกเขาเพิ่งจะมาเริ่มจริงจังเอาในยุคที่สโมสรมาอยู่ในมือของชีคมานซูร์นี่เองก็คงจะไม่ผิดนัก

จากเดือนกันยายน ปี 2008 ที่กลุ่มทุนจากอาบูดาบีเข้ามาซื้อสโมสรซึ่งตามมาด้วยดีลเขย่าวงการมากมายจนถึงวันนี้ กินเวลา 15 ปี

ถามว่า 15 ปีนานไหมก็ต้องบอกว่าหากเทียบกับ 31 ปีของลูตัน 33 ปีของนาโปลี หรือ 58 ปีของเวสต์แฮมก็คงไม่นาน แต่ถ้าเทียบกับศักยภาพของทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 7 สมัย รองแชมป์อีก 3 สมัย อันดับสามอีก 2 สมัย อันดับ 4 กับ 5 อย่างละหนึ่งสมัยภายในเวลา 15 ปีที่ว่าและยกระดับตัวเองเป็นหนึ่งในขาประจำของแชมเปี้ยนส์ ลีกแถมยังเป็นหนึ่งในตัวเต็งเจ้ายุโรปทุกปีอีกต่างหากก็พอจะพูดได้ว่านาน

มันนานพอดูทีเดียวสำหรับทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่วางเป้าหมายว่าจะต้องเป็นแชมป์ยุโรปให้ได้ เป้าหมายนี้นับย้อนขึ้นไปตั้งแต่ก่อนที่ เซร์คิโอ อเกวโร่ จะทำประตูประวัติศาสตร์ลูกนั้นเมื่อปี 2012 ด้วยซ้ำ

15 ปีที่ผ่านมาซิตี้ผ่านประสบการณ์ชอกช้ำมาหมดแล้วในรายการนี้ทั้ง "เกือบสมหวัง" "ตกม้าตาย" "สะดุดขาตัวเอง" "แพ้หมดรูป" "ดวงแตก" หรือ "โดนเล่นงานด้วยปาฏิหาริย์" พวกเขาน่าจะเป็นทีมที่เจ็บหนักที่สุดและเสียน้ำตามากที่สุดทีมหนึ่งชนิดไม่เป็นสองรองใคร

ในอังกฤษพวกเขาอาจเป็นเหมือนคลื่นยักษ์ที่กวาดทุกอย่างราบคาบ แต่ไม่ใช่ในยุโรป คล้ายเจ้าบิ๊กเอียร์ยังเล่นตัวไม่ยอมให้หนุ่มเศรษฐีได้เชยชมง่ายๆ

"ขอฉันได้เห็นความพยายามของเธอก่อนเถิด แล้วถึงเวลานั้นฉันจะมอบหัวใจให้เธอเอง"

แน่นอนครับซิตี้เป็นเศรษฐี พวกเขามีต้นทุนทางการเงินที่เหนือกว่าทีมอื่นๆ มากมาย แต่ในอีกภาพหนึ่งพวกเขาก็ต้องพยายามอย่างสุดชีวิตเช่นกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ปรารถนา เราเห็น คาลดูน อัล มูบารัค ที่ชี้คมานซูร์ส่งมานั่งตำแหน่งประธานสโมสรกันมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เขาใช้เวลา 3 ปีบริหารทีมได้แชมป์เอฟเอ คัพ.. 4 ปีได้แชมป์พรีเมียร์ลีก.. 6 ปีได้แชมป์ลีก คัพ แต่กับแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังคงว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น

ตลอดรายทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไล่เก็บกวาดแชมป์น้อยใหญ่มากมายในประเทศราวกับเป็นของที่หยิบฉวยได้ง่ายๆ ถ้านับโล่แชมป์คอมมิวนิตี้ชิลด์อีก 3 สมัยเข้าไปด้วย พวกเขาเดินเข้าสู่ฤดูกาล 2022/23 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ 15 ในยุคอาบูดาบีด้วยการสะสมโทรฟี่รวมกัน 17 รายการ.. พรีเมียร์ลีก 6 เอฟเอ คัพ 2 ลีก คัพอีก 6

แต่แน่นอนตู้โชว์ถ้วยรางวัลที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ยังคงรอถ้วยใบใหญ่ที่สุดอยู่ และมันยังคงว่างเปล่า

ที่น่าเจ็บปวดก็คือในห้วงเวลาเดียวกันที่ความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่ากลายเป็นศูนย์ เชลซีที่เฝ้าฝันจะเป็นแชมป์ยุโรปให้ได้เช่นกันสามารถทำมันได้ 2 ครั้ง ลิเวอร์พูลที่มีการเปลี่ยนมือเจ้าของสโมสรในเวลาไล่เลี่ยกับพวกเขาก็สะสมแชมป์ยุโรปให้ตัวเองได้เพิ่มอีกสมัยทั้งยังเข้าชิงได้อีก 2 หน

จะเป็นเจ้ายุโรป.. แน่นอนถ้าคุณเก่งพอมันย่อมเป็นไปได้ เพียงแต่หลายครั้งความเก่งอย่างเดียวยังไม่พอ คุณต้องมีจังหวะที่ลงตัวด้วย เพราะคู่ต่อสู้ในเวทีนี้ล้วนเขี้ยวลากดิน เรอัล มาดริด เป็นแชมป์มาแล้ว 14 สมัย เอซี มิลาน 7 สมัย ลิเวอร์พูล กับ บาเยิร์น มิวนิค 6 สมัย หรือบรรดาขาใหญ่ขาเล็กทั้งหลายต่างก็พร้อมจะลงโทษคุณทุกวินาทีเมื่อเข้ามาถึงเกมน็อกเอ๊าต์

รอบแบ่งกลุ่มที่เตะ 6 เกมเหย้าเยือนนั้นไม่ใช่ปัญหา ซิตี้ตกรอบแบ่งกลุ่มแค่ 2 ครั้งเท่านั้นในยุคตั้งไข่ของมันโช่และนับตั้งแต่ มานูเอล เปเยกรินี่ เข้ามา ต่อเนื่องถึง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พวกเขาก็ไม่เคยพลาดรอบน็อกเอ๊าต์เลย

เพียงแต่รอบน็อกเอ๊าต์นั่นเองที่เป็นอุปสรรคใหญ่ มันคือสุสานของทีมดีๆ มาแล้วมากมายด้วยความที่ท้ายที่สุดแล้วมันจะมีแชมป์ได้แค่ทีมเดียว

ซิตี้ไม่เคยข้ามกำแพงนี้ไปได้เลยสักครั้ง ทั้งเจ็บเล็ก เจ็บใหญ่ และเจ็บหนัก มันลงเอยด้วยการรอคอยที่ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุดทุกทีไป..

- ฤดูกาล 2010/11 (โรแบร์โต้ มันชินี่)

  • ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แพ้ ดินาโม เคียฟ ประตูรวม 1-2 (0-2 นัดแรกที่เคียฟ และกลับมาชนะได้แค่ 1-0)

- ฤดูกาล 2011/12 (มันชินี่)

  • ตกรอบแบ่งกลุ่ม เป็นอันดับ 3 รองจาก บาเยิร์น มิวนิค และ นาโปลี ลงไปเตะยูฟ่า ยูโรปา ลีก แพ้ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ด้วยอะเวย์โกล์ 3-3 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย

- ฤดูกาล 2012/13 (มันชินี่)

  • ตกรอบแบ่งกลุ่ม เตะ 6 เกมไม่ชนะใครเลย มีเพียง 3 คะแนนในกลุ่มที่มี เรอัล มาดริด โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม

- ฤดูกาล 2013/14 (มานูเอล เปเยกรินี่)

  • ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แพ้ บาร์เซโลน่า ประตูรวม 1-4 (0-2 ในเกมแรกที่แมนเชสเตอร์ และ 1-2 ที่คัมป์ นู ดานี่ อัลเวส กับ ลิโอเนล เมสซี่ ทำคนละประตูทั้งสองเกม)

- ฤดูกาล 2014/15 (เปเยกรินี่)

  • ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แพ้ บาร์เซโลน่า ประตูรวม 1-3 (1-2 ในเกมแรกที่แมนเชสเตอร์ หลุยส์ ซัวเรซเหมาสอง และ 0-1 ที่คัมป์ นู)

- ฤดูกาล 2015/16 (เปเยกรินี่)

  • ตกรอบรองชนะเลิศ แพ้ เรอัล มาดริด ประตูรวม 0-1 (0-0 ในเกมแรกที่แมนเชสเตอร์ และ 0-1 ที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว)

- ฤดูกาล 2016/17 (เป๊ป กวาร์ดิโอล่า)

  • ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แพ้อะเวย์โกล์ โมนาโก ประตูรวม 6-6 (รัว 3 ประตูแซงชนะ 5-3 ที่แมนเชสเตอร์ ก่อนไปแพ้ 1-3 ที่สต๊าด หลุยส์ เดอซ์)

-ฤดูกาล 2017/18 (กวาร์ดิโอล่า)

  • ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แพ้ ลิเวอร์พูล ประตูรวม 1-5 (0-3 ในเกมแรกที่แอนฟิลด์ แม้ กาเบรียล เชซุส จะยิงขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 2 ปลุกความหวังให้ทีมในเกมที่สองแต่สุดท้ายถูกหงส์แดงย้ำแค้นอีก 1-2)

- ฤดูกาล 2018/19 (กวาร์ดิโอล่า)

  • ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แพ้อะเวย์โกล์ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ 4-4 (0-1 ที่ลอนดอน กลับมาเตะเกมที่สองรัวสามประตูแซงนำ 4-2 ได้แล้วแต่เสียประตูให้ เฟร์นานโด ยอเรนเต้ นาที 73 ชนะได้แค่ 4-3)

- ฤดูกาล 2019/20 (กวาร์ดิโอล่า)

  • ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แพ้ โอลิมปิก ลียง 1-3 ที่ลิสบอนในการปรับรูปแบบเป็นทัวร์นาเม้นต์ช่วงโควิด-19

- ฤดูกาล 2020/21 (กวาร์ดิโอล่า)

  • ได้รองแชมป์ แพ้เชลซี 0-1 ในนัดชิงที่ปอร์โต้

- ฤดูกาล 2021/22 (กวาร์ดิโอล่า)

  • ตกรอบรองชนะเลิศ ด้วยปาฏิหาริย์ของ เรอัล มาดริด.. ชนะ 4-3 เกมแรก นำ 1-0 ในเกมที่สองก่อนถูก โรดรีโก้ ที่เปลี่ยนตัวลงมาซัด 2 ลูกนาที 90 กับ 90+1 และปิดฉากเส้นทางด้วยจุดโทษของ คาริม เบนเซม่า ในช่วงต่อเวลา

การรอคอยของแมนเชสเตอร์ ซิตี้.. ดูเหมือนจะยาวนานจนหาวันสมหวังไม่เจอ

จากหนึ่งครั้ง เป็นสองครั้ง ห้าครั้ง เก้าครั้ง สิบสี่ครั้ง..

จาก "ไม่เป็นไร" "ปีหน้าเอาใหม่" "แก้ตัวใหม่โว้ย" "พยายามต่อไป" ที่ตบบ่าตบไหล่ให้กำลังใจกันครั้งแล้วครั้งเล่า มันเริ่มกลายเป็นกำแพงที่สูงขึ้นทุกทีจนเริ่มไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นไปได้ไหมหรือจะเกิดขึ้นจริงเมื่อไหร่

เพราะกระทั่งฤดูกาลที่แล้ว นัดชิงที่ปารีสอยู่ตรงหน้าแท้ๆ ยังหายวับไปกับตา นำ เรอัล มาดริด 5-3 ในประตูรวมเมื่อถึงนาทีที่ 90 แต่สุดท้ายยังกลับบ้านมือเปล่า

แต่ก็นั่นล่ะครับ ตราบใดที่คุณไม่ละทิ้งความพยายาม โอกาสย่อมรอให้คุณไขว่คว้าอยู่เสมอ

แล้วฤดูกาล 2022/23 การรอคอยของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็สิ้นสุดลงจริงๆ

ไม่ต้องรอจังหวะที่เหมาะสม ไม่ต้องสนโชคชะตามากำหนด พวกเขาขีดชีวิตเส้นนี้ด้วยฝีตีนของตัวเองโดยแท้

จบการรอคอยอันยาวนานลงด้วยความเก่งกาจล้วนๆ ถ้าโชคชะตาไม่เคยนำพา ถ้าจังหวะเวลาไม่เคยเป็นใจ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ใช้ความสมบูรณ์แบบที่พวกเขามีนั่นแหละเอาชนะมัน

ไม่มีอีกแล้วคำว่า ตกม้าตาย ดวงแตก หรือ ปาฏิหาริย์.. มันอาจจะเคยเกิดขึ้นในปีอื่น แต่ไม่มีทางเกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ เมื่อมันสมองของกวาร์ดิโอล่าทำให้ฟุตบอลของพวกเขาเอกอุขึ้นไปอีกจนสามารถพิชิตมันได้ในที่สุด

ถ้าที่ผ่านมายังไม่ดีพอ เราก็แค่ต้องทำตัวเองให้ดีขึ้น อย่ามัวแต่โทษโชคชะตา.. โจทย์ของพวกเขาเป็นอย่างนั้นและกวาร์ดิโอล่าก็มุ่งมั่นแก้โจทย์นั้น ทีมของเขายกระดับขึ้นไปอีกจนไม่มีทีมไหนตามทัน รอบน็อกเอ๊าต์ที่เคยเป็นฝันร้ายจบลงด้วยการถล่มไลป์ซิก 8-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ถล่มบาเยิร์น มิวนิค 4-1 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ถล่มเรอัล มาดริด 5-1 ในรอบรองชนะเลิศ และเอาตัวรอดได้อย่างทีมที่มีประสบการณ์ในนัดชิงกับอินเตอร์ มิลาน ที่อิสตันบูล

15 ปีแห่งการรอคอย มันจบลงอย่างสุขสมหวังที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด และยังสวยงามที่สุดเกินกว่าจะจินตนาการไปได้ถึง

เพราะไม่เพียงแชมป์ยุโรปที่ปรารถนาเท่านั้น หากยังเป็นทริปเปิลแชมป์ พรีเมียร์ลีก - เอฟเอ คัพ - ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

15 ปีแห่งการรอคอย พอถึงเวลาสมหวังเข้าจริงๆ มันก็หอมหวานจนคุณสามารถดื่มด่ำมันไปได้ตลอดกาล เพราะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กระโจนพรวดเดียวขึ้นไปอยู่บนหิ้งเคียงข้างทีมอื่นๆ อีก 7 ทีมที่เคยทำทริปเปิลแชมป์ได้สำเร็จ

จากผู้จัดการทีม 4 คน.. จาก มาร์ค ฮิวจ์ส, โรแบร์โต้ มันชินี่, มานูเอล เปเยกรินี่ สู่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

จากยอดนักเตะนับไม่ถ้วน.. จาก โรบินโญ่, คาร์ลอส เตเวซ, ดาบิด ซิลบา, ยาย่า ตูเร่, เซร์คิโอ อเกวโร่, แฟร์นันดินโญ่, เควิน เดอบรอยน์, แบร์นาร์โด้ ซิลวา สู่ เออร์ลิง ฮาลันด์

จากการรอคอยที่เหมือนไม่มีวันจบ.. จากแค่ "เกือบ" "ตกม้าตาย" "ดวงแตก" "แก้ตัวใหม่" "พยายามต่อไป" สู่วันที่ความฝันกลายเป็นจริง

"ขอฉันได้เห็นความพยายามของเธอก่อนเถิด แล้วถึงเวลานั้นฉันจะมอบหัวใจให้เธอเอง"..

แล้วเวลานั้นก็มาถึงในที่สุด

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือแชมป์ยุโรปสมใจหวัง พวกเขาคงมีความสุขเหลือล้น.. ขอแสดงความยินดีด้วยครับ

ตังกุย


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport