ลางดีของ อินเตอร์ ? ย้อนรอย 5 นัดชิงดำชปล. ระหว่าง แชมป์กลุ่ม vs รองแชมป์กลุ่ม

ลางดีของ อินเตอร์ ? ย้อนรอย 5 นัดชิงดำชปล. ระหว่าง แชมป์กลุ่ม vs รองแชมป์กลุ่ม
ซีซั่น 2022-23 นับเป็นฤดูกาลที่ 20 เข้าไปแล้วที่ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ใช้ระบบที่ประกอบไปด้วยรอบแบ่งกลุ่ม 1 รอบ ตามด้วยรอบ 16 ทีมสุดท้าย, รอบก่อนรองชนะเลิศ, รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ โดยแฟนบอลสมัยก่อนจะคุ้นเคยกับระบบที่เคยใช้รอบแบ่งกลุ่ม 2 รอบก่อนจะเข้าสู่รอบน็อกเอาท์

เชื่อหรือไม่ว่าในบรรดา 20 ซีซั่นที่ว่านั้น นี่นับเป็นเพียงครั้งที่ 6 ที่รอบชิงดำเป็นการเจอกันของทีมที่จบรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเป็นแชมป์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กับทีมที่เป็นรองแชมป์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง 

โดยซีซั่นนี้ เป็นการเจอกัยระหว่าง "เรือใบสีฟ้า" ทีมแชมป์กลุ่ม G ที่่ผ่านรอบแรกแบบไร้พ่าย พบ "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน รองแชมป์กลุ่ม C ที่ตีตั๋วเข้ารอบตามบาเยิร์น มิวนิค และ จบเหนือ บาร์เซโลน่า

วันนี้เราจะย้อนไปดู 5 ครั้งก่อนหน้านี้ว่ามันจบลงแบบไหนบ้าง

2003-04 - อาแอส โมนาโก (แชมป์กลุ่ม ซี) vs เอฟซี ปอร์โต้ (รองแชมป์กลุ่ม เอฟ)

นั่นถือเป็นฤดูกาลที่หักปากกาเซียนของหลายต่อหลายคน เพราะตอนเริ่มฤดูกาลนั้นคงไม่มีใครคิดหรอกว่า โมนาโก กับ ปอร์โต้ จะทะลุมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้ เพราะขุมกำลังของพวกเขาดูแล้วไม่น่าจะสู้เหล่าทีมใหญ่ๆ ได้

ในซีซั่นนั้น โมนาโก เป็นแชมป์กลุ่มจากกลุ่มที่มี เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า, พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น และ เออีเค เอเธนส์ เป็นเพื่อนร่วมกลุ่ม ส่วน ปอร์โต้ เข้ารอบน็อกเอาท์จากการเป็นรอง เรอัล มาดริด แต่มีแต้มมากกว่า โอลิมปิก มาร์กเซย กับ ปาร์ติซาน เบลเกรด ซึ่งสุดท้ายแล้ว ปอร์โต้ ภายใต้การทำทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ซิวถ้วยบิ๊กเอียร์ไปครองอย่างยิ่งใหญ่

บทสรุป : รองแชมป์กลุ่มได้ถ้วย

ฤดูกาล 2004-05 - เอซี มิลาน (แชมป์กลุ่ม เอฟ) vs ลิเวอร์พูล (รองแชมป์กลุ่ม เอ)

มิลาน ทำผลงานในรอบแบ่งกลุ่มได้ยอดเยี่ยมจนสามารถซิวแชมป์กลุ่มเหนือ บาร์เซโลน่า ได้ โดยที่ ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค กับ เซลติก ได้ที่ 3 กับ 4 ตามลำดับ ส่วน ลิเวอร์พูล ต้องลุ้นจนถึงนัดสุดท้ายกว่าที่จะเป็นรองแชมป์ของกลุ่ม เอ โดยตอนนั้นพวกเขาอยู่กลุ่มเดียวกับ โมนาโก, โอลิมเปียกอส และ ลา กอรุนญ่า ซึ่งแชมป์ของกลุ่มพวกเขาคือ โมนาโก

ในนัดชิงดำนั้นตอนแรกหลายคนก็มองว่า มิลาน เป็นต่อ ลิเวอร์พูล ในระดับหนึ่ง และหลายรายก็คิดว่าเกมจบลงตั้งแต่ครึ่งแรกด้วยเพราะ "รอสโซเนรี่" นำไปก่อนถึง 3-0 แต่ในครึ่งหลัง "หงส์แดง" โชว์สปิริตนักสู้อันสุดยอดจนไล่ตีเสมอเป็น 3-3 ได้ ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะไปชนะในช่วงดวลจุดโทษจนกลายเป็น "ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล" มาจนถึงทุกวันนี้

บทสรุป : รองแชมป์กลุ่มได้ถ้วย

ฤดูกาล 2014-15 - บาร์เซโลน่า (แชมป์กลุ่ม เอฟ) vs ยูเวนตุส (รองแชมป์กลุ่ม เอ)

บาร์เซโลน่า ภายใต้การทำทีมของ หลุยส์ เอ็นรีเก้ โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มจนซิวแชมป์กลุ่มโดยที่เอาชนะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไป 2 แต้ม โดยที่ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม กับ อโปเอล ได้ที่ 3 และ 4 ตามลำดับ ส่วน ยูเวนตุส อยู่ร่วมกลุ่มกับ แอตเลติโก มาดริด, โอลิมเปีย กอกส และ มัลโม่ ซึ่งพวกเขาก็ตามหลัง "ตราหมี" เข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่ม

ในรอบชิงชนะเลิศนั้น บาร์เซโลน่า ได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 4 จาก อิวาน ราคิติช และถึงแม้ ยูเวนตุส จะตีเสมอได้จาก อัลบาโร่ โมราต้า ในนาทีที่ 55 แต่สุดท้าย "อาซูลกราน่า" ก็ได้เพิ่ม 2 ลูกจาก หลุยส์ ซัวเรซ ในนาทีที่ 68 และ เนย์มาร์ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ จนทำให้ บาร์เซโลน่า ได้ถ้วยบิ๊กเอียร์เป็นสมัยที่ 5

บทสรุป : แชมป์กลุ่มได้ถ้วยฤดูกาล 2016-17 - ยูเวนตุส (แชมป์กลุ่ม เอช) vs เรอัล มาดริด (รองแชมป์กลุ่ม เอฟ)

หลายคนไม่แปลกใจที่ตอนนั้น ยูเวนตุส ได้แชมป์กลุ่ม เพราะพวกเขาอยู่ร่วมกลุ่มกับ เซบีย่า, โอลิมปิก ลียง และ ดินาโม ซาเกร็บ ซึ่งนั่นตรงข้ามกับ เรอัล มาดริด ที่ต้องยกตำแหน่งแชมป์กลุ่มให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในกลุ่มที่มี ลีเกีย วอร์ซอว์ กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน เป็นเพื่อนร่วมกลุ่ม

ถึงกระนั้น ในรอบชิงชนะเลิศ เรอัล มาดริด โชว์ฟอร์มได้สมกับการเป็นทีมที่มีขุมกำลังแข็งแกร่งสุดๆ ในยุคนั้น เพราะพวกเขาเอาชนะ ยูเวนตุส ไปขาดลอยถึง 4-1 ด้วยผลงาน 2 ประตูจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และจาก กาเซมีโร่ กับ มาร์โก อเซนซิโอ อีกคนละ 1 ประตู ส่วนฝั่ง "เบียงโคเนรี่" ได้ประตูจาก มาริโอ มานด์ซูคิช

บทสรุป : รองแชมป์กลุ่มได้ถ้วย

ฤดูกาล 2017-18 - ลิเวอร์พูล (แชมป์กลุ่ม อี) vs เรอัล มาดริด (แชมป์กลุ่ม เอช)

ลิเวอร์พูล จบรอบแบ่งกลุ่มที่เจอกับทั้ง เซบีย่า, สปาร์ตัก มอสโก และ มาริบอร์ ด้วยการไม่แพ้ใครเลย แบ่งเป็นการชนะกับเสมออย่างละ 3 นัด จนทำให้พวกเขาได้เป็นแชมป์กลุ่ม ขณะที่ มาดริด เป็นอีกครั้งที่ได้รองแชมป์กลุ่มแบบน่าเซอร์ไพรส์พอตัว โดยทีมที่ได้แชมป์กลุ่มคือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ส่วนเพื่อนร่วมกลุ่มอีก 2 ทีมคือ ดอร์ทมุนด์ กับ อโปเอล

ท้ายที่สุดแล้ว 2 ทีมยักษ์ใหญ่ก็ได้มาดวลกันในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่ง มาดริด ขึ้นนำก่อนจาก คาริม เบนเซม่า ในนาทีที่ 51 และถึงแม้ ลิเวอร์พูล จะตีเสมอได้ในอีก 4 นาทีต่อมาจาก ซาดิโอ มาเน่ แต่ทาง "ราชันชุดขาว" ก็มาได้เพิ่ม 2 ลูกจากการเหมาของ แกเร็ธ เบล ในนาทีที่ 63 กับ 83 ส่งผลให้ มาดริด ได้แชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 13

บทสรุป : รองแชมป์กลุ่มได้ถ้วย

- เด็กเกร็ดบอล -



ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : เด็กเกร็ดบอล
เด็กเกร็ดบอล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport
X