ถือว่าเป็นไปตามความคาดหมาย แต่สกอร์อาจขาดลอยมากไปนิดเมื่อ แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านยำใหญ่ เรอัล มาดริด 4-0 ในเกมตัดเชือกนัดสองของถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อวันพุธที่ 17 พ.ค. ที่สังเวียนแข้ง เอติฮัด สเตเดี้ยม
จึงเป็นอันว่า เรือใบสีฟ้า ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยชัยชนะ 5-1 จากสกอร์รวมสองนัด รอบู๊กับ อินเตอร์ มิลาน ในเกมสำคัญวันที่ 10 มิ.ย.ที่ อิสตันบูล ตุรเคีย
1. เรือใบโผเดิมทุกตำแหน่ง
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ทีม แมนฯ ซิตี้ เลือกส่งนักเตะ 11 คนแรกชุดเดิมทั้งหมดต้อนรับการมาเยือนของ เรอัล มาดริด หลังจากเกมแรกพวกเขาบุกไปตีเสมอแชมป์เก่าได้ 1-1 ที่ เบร์นาเบว
ด้วยเหตุนี้ เควิน เดอ บรอยน์ , แจ็ค กรีลิช , แบร์นาร์โด้ ซิลวา และ จอห์น สโตนส์ ซึ่งนั่งเป็นตัวสำรองในเกม พรีเมียร์ลีก นัดบุกยำใหญ่ เอฟเวอร์ตัน 3-0 เมื่อวันอาทิตย์จึงกลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
2. อันเช่ พูดจริงทำจริง
คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือทีม เรอัล มาดริด ทำเหมือนที่เปรยกับสื่อขณะให้สัมภาษณ์ก่อนเกมว่าจะส่ง เอแดร์ มิลิเตา ปราการหลังทีมชาติ บราซิล ลงสนามนัดนี้แม้เกมแรกกับ แมนฯ ซิตี้ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ จะโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการจับตาย เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ดาวยิงตัวร้ายของ เรือใบสีฟ้า จนกระดิกไม่ออก
สำหรับเกมแรกเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มิลิเตา ติดโทษแบนลงเล่นไม่ได้ แต่ในเกม ลา ลีกา เมื่อวันเสาร์นัดเปิดบ้านเฉือนชนะ เคตาเฟ่ 1-0 กุนซืออิตาเลี่ยนส่งดาวเตะแซมบ้าลงเล่นเป็นตัวจริงตลอดทั้งเกมโดยที่ขุนพลทีมชาติ เยอรมัน นั่งเป็นตัวสำรองที่ไม่ถูกส่งลงบู๊
อย่างไรก็ดี อันเชล็อตติ คุมทีมดังของลีกกระทิงดุลงเล่นเกม แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นนัดที่ 50 พอดี แต่หากนับรวมกับทุกสโมสร เขาสร้างสถิติคุมทีมลงเล่นรายการนี้เป็นเกมที่ 191 แซงหน้าเจ้าของสถิติ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน 190 นัดกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จ
3. กูร์กตัวส์ ช่วยไม่ไหว
น่าจะคิดผิดถนัดจริงๆสำหรับ อันเชล็อตติ ที่เกมนี้เลือกใช้งาน มิลิเตา แทนที่จะเป็น รือดิเกอร์ และเป็นผลให้เจ้าบ้านเดินเกมรุกได้สะดวกกว่านัดแรกลิบลับ โดยเฉพาะ ฮาลันด์ ที่นัดก่อนแผลงฤทธิ์ไม่ออกมีโอกาสสัมผัสบอลตลอดทั้งเกมน้อยที่สุดแค่ 21 ครั้งสบโอกาสโขกเหน่งๆสองหน แต่โดน ติโบ กูร์กตัวส์ เซฟได้เหลือเชื่อ
จนในที่สุดพริบตาต่อมานาทีที่ 23 เดอ บรอยน์ ก็เห็นช่องไหลบอลเข้าเขตโทษด้านขวาให้ ซิลวา ที่ว่างอยู่เข่นเต็มข้อเข้าเสาแรกพา เรือใบสีฟ้า นำหน้า 1-0 โดยถึงนาทีนั้น เรอัล มาดริด ตกเป็นรองอย่างหนักหน่วงจากการครองบอล 81:19% และไม่มีโอกาสสับไกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผิดกับแชมป์ พรีเมียร์ลีก ที่ได้กระทุ้งมากถึง 8 ครั้ง และเข้ากรอบ 3 ครั้งพร้อมทั้งเป็น 1 ประตู
อย่างไรก็ดี เป็นธรรมชาติของ ราชันชุดขาว ที่มักติดเครื่องช้าเนื่องจากในช่วง 30 นาทีแรก แมนฯ ซิตี้ ผ่านบอลได้อย่างมหาศาลถึง 237:45 ครั้ง แต่ถัดจากนั้นเกมของทีมเยือนก็เริ่มเข้าที่เข้าทางได้บุกขึ้นหน้ามากขึ้น แถม โทนี่ โครส เกือบทวงคืนได้ด้วยจากการส่องไกลชนคาน
แต่แล้วอีกอึดใจเดียว ซิลวา ก็สบโอกาสโขกตุงตาข่ายหลังจาก อิลคาย กุนโดกัน ทะลุเข้าเขตโทษไปสับไกถูกบล็อคมาเข้าทางพอดีพา แมนฯ ซิตี้ หนีห่าง 2-0 เพิ่มความลำบากให้กับ ราชันชุดขาว มากขึ้นไปอีกชนิดที่เจ้าบ้านได้สกอร์นำหน้าน้อยไปด้วยซ้ำ
กระทั่งจบครึ่งแรก แชมป์ 14 สมัยอาการโคม่าอย่างยิ่ง และน่าจะโดนขย้ำมากกว่าสองประตูเนื่องจากพวกเขาครองบอลเป็นรอง 72:28% และได้ยิงหนเดียวโดยไม่เข้ากรอบในจังหวะตะบันของ โครส ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ได้ดาหน้าหาโอกาสพังประตูมากถึง 13 ครั้ง และส่งบอลเข้ากรอบ 5 ครั้ง
4. ไม่ใช่วันของ ฮาลันด์
ครึ่งหลัง เรอัล มาดริด ไว้ลายได้ดีเนื่องจากจำเป็นต้องเดินหน้าสถานเดียว และพาบอลบุกเข้าไปในแดนของเจ้าบ้านได้มากกว่าครึ่งแรกชัดเจน หากแต่จังหวะสุดท้ายที่จะเผด็จศึกยังจ่ายบอลขาดๆเกินๆไม่ลงล็อกจึงพังประตูคืนไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงสิบห้านาทีสุดท้าย มิลิเตา ก็สงเคราะห์ประตูให้เจ้าถิ่นด้วยการสกัดลูกฟรีคิกตุงตาข่ายตัวเองให้เจ้าบ้านนำขาด 3-0 ซึ่งถือเป็นการปิดจ็อบได้โดยสิ้นเชิงสำหรับ เรือใบสีฟ้า
ถึงอย่างนั้น เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่ใช่วันของ ฮาลันด์ อีกตามเคยเพราะก่อนที่ แมนฯ ซิตี้ จะได้เม็ดสาม เขามีโอกาสหลุดเข้าตะบันเหน่งๆอีกหน แต่ไม่ผ่านการปัดป้องของ กูร์กตัวส์ รวมเป็นโอกาสทองหนที่สามในเกมนี้
เท่านั้นไม่พอ หลังดาวยิงทีมชาติ นอรเวย์ โดนเปลี่ยนออกในนาทีสุดท้าย ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ตัวสำรองกลับขโมยซีนได้ในช่วงทดเวลาด้วยจากการปราดเข้ายิงไม่เหลือจากจังหวะที่ ฟิล โฟเด้น ตัวสำรองเช่นกันไหลบอลเข้าเขตโทษให้ซัดลูกปิดกล่อง 4-0
ครบ 90 นาที เรอัล มาดริด ยกระดับเกมในครึ่งหลังได้ดีขึ้นเยอะเมื่อลดการครองบอลที่เป็นรองลงเหลือ 59:41% และได้ยิงประตู 7 ครั้ง เข้ากรอบ 3 ครั้ง ขณะที่เจ้าบ้านได้ยิง 16 ครั้ง และเข้ากรอบ 7 ครั้ง
5. สามแชมป์อยู่ในกำมือ?
จากฟอร์มในเกมล่าสุดกับ เรอัล มาดริด มันฟ้องให้เห็นว่า เรือใบสีฟ้า เข้าใกล้ที่จะสร้างประวัติศาสตร์มากเข้าไปทุกทีกับการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในซีซั่นนี้โดยเฉพาะแชมป์ พรีเมียร์ลีก ที่ไม่น่าจะหลุดมือหลังนำ อาร์เซน่อล สี่แต้ม และลงเล่นน้อยกว่าหนึ่งนัด
ขณะเดียวกัน แมนฯ ยูไนเต็ด คู่ปรับในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ ก็ไม่น่าจะต้านทานเกมรุกที่เด็ดขาดของ แมนฯ ซิตี้ ได้เนื่องจากฟอร์มช่วงท้ายซีซั่นแกว่งไปแกว่งมา แถมไม่แน่ว่าจะได้โควต้าลงเล่นถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก หรือเปล่าด้วยหลังถูก ลิเวอร์พูล ที่ชนะรวด 7 นัดไล่จี้อย่างไม่ลดราวาศอก
ยิ่งไปกว่านั้น หากจะมองว่า ปีศาจแดง ขอยันเสมอเพื่อวัดดวงในการดวลลูกโทษตัดสินเหมือนเกมในรอบตัดเชือกกับ ไบรท์ตัน มันยิ่งไม่น่าได้ผลเข้าไปใหญ่เพราะแม้แต่เด็กสามขวบยังรู้เลยว่า ดาบิด เด เคอา เซฟลูกโทษไม่เป็นสับปะรด และไม่อาจเทียบกับ เอแดร์ซอน ได้เลย
ฉะนั้นแล้ว แมนฯ ซิตี้ จะคว้าแชมป์หูใหญ่มาประดับสโมสรได้หรือไม่ต่างหากที่เป็นโจทย์ยากที่สุดเพราะแม้พวกเขาจะถูกยกให้เป็นเต็งหาม และมีฟอร์มเหนือกว่า อินเตอร์ อย่างชัดเจน แต่บอลนัดเดียวอะไรก็เกิดขึ้นได้ อีกทั้งการเล่นในสนามเป็นกลางทำให้ งูใหญ่ ไม่เสียเปรียบในจุดนี้
ขณะเดียวกัน ทีมของ ซิโมเน่ อินซากี้ ในซีซั่นนี้มีสถิติเกมรับที่น่าประทับใจไม่น้อยจึงเชื่อได้เลยว่าพวกเขาจะอาศัยการเล่นเกมรับที่รัดกุม และหาโอกาสโต้กลับจากทีเด็ดของ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ กองหน้าจอมแสบ รวมถึง เอดิน เชโก้ อดีตหัวหอก แมนฯ ซิตี้ เองด้วย ขณะที่ โรเมลู ลูกากู ก็พร้อมลงไปพลิกสถานการณ์จากซุ้มข้างสนามเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ในฐานะที่มีเกมรุกจัดจ้าน และยังไม่แพ้ใครในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นนี้โดยมีผลงานพังประตูไปแล้ว 31 เม็ดซึ่งเป็นสถิติสูงที่สุดของสโมสรในรายการนี้ อีกทั้งต้องต่อกรกับคู่แข่งที่เน้นตั้งรับแทบทุกนัดอยู่แล้ว มันจึงไม่น่าจะเป็นปัญหาของ เรือใบสีฟ้า ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะหาทางกำราบ อินเตอร์ ในเวลาได้หรือเปล่าหากไม่นึกหวังให้เกมยืดเยื้อไปจนถึงการดวลลูกโทษชี้ขาด