ในที่สุด เกมดาร์บี้แมตช์เมืองมิลานก็ไม่มีอะไรพลิกผันหลังจากนัดแรกของรอบตัดเชือกถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก กลางสัปดาห์ก่อน อินเตอร์ คว้าชัยมาได้ 2-0 แถมเกมล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 16 พ.ค. งูใหญ่ ยังย้ำแค้นทีมร่วมเมืองได้อีกนัด 1-0
รวมผลสองนัด มันชัดเจนว่าทีมของ ฟิลิปโป้ อินซากี้ เหนือกว่ามากจากการกำชัยด้วยสกอร์รวม 3-0 พวกเขาจึงคู่ควรต่อการได้เป็นตัวแทนจาก เซเรียอา รอเล่นนัดชิงชนะเลิศวันที่ 10 มิ.ย. ที่ อิสตันบูล กับ แมนฯ ซิตี้ หรือไม่ก็ เรอัล มาดริด
1. งูใหญ่มั่นใจทีมชุดเดิม
อินเตอร์ มิลาน จัดทัพชุดเดิมต้อนรับการมาเยือนของ เอซี มิลาน หลังจากเกมแรกโชว์ฟอร์มเด็ดกำชัยเหนือทีมร่วมเมืองได้อย่างสวยหรู 2-0
ซิโมเน่ อินซากี้ ยังวางใจใช้บริการสองหัวหอก เลาตาโร่ มาร์ติเนซ กับ เอดิน เชโก้ จึงทำให้ โรเมลู ลูกากู ต้องนั่งข้างสนามต่อแม้เกมลีกเมื่อวันเสาร์นัดพิชิต ซาสซูโอโล่ 2-0 กองหน้าทีม เชลซี จะซัดได้สองตุงก็ตาม
2. ปีศาจแดงดำได้ เลเอา คืนสนาม
สเตฟาโน่ ปิโอลี่ กุนซือทีม เอซี มิลาน สามารถส่ง ราฟาเอล เลเอา ดาวยิงคนสำคัญลงสนามได้ตามคาดหลังจากเขาพลาดเกมแรกเมื่อวันพุธก่อนเนื่องจากมีปัญหาเจ็บต้นขา
รวมแล้ว อาคันตุกะปรับทัพสามตำแหน่งโดยนอกจากศูนย์หน้าทีมชาติ โปรตุเกส แล้ว มาลิค เทียว กับ จูเนียร์ เมสซิอาส ก็ได้ออกสตาร์ตแทน อเล็กซิส เซเลเมเกอร์ส และ ซิมง เคียร์ ซึ่งหล่นไปนั่งข้างสนาม ขณะที่ อิสมาเอล เบนนาเซร์ หลุดไปจากโผเนื่องจากบาดเจ็บจากเกมแรก
3. ครึ่งทาง มิลาน ส่อไร้ความหวัง
เริ่มเกมขึ้นมา มิลาน บุกเข้าหาอริร่วมเมืองได้ดี และสร้างปัญหาให้แผงหลัง อินเตอร์ ได้พอสมควร แถมมีจังหวะเหน่งๆด้วยจาก บราอิม ดิอาซ แต่ อังเดร โอนาน่า เซฟได้อย่างไม่น่าเชื่อ
อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไป อินเตอร์ เริ่มตั้งหลักได้ และขยับบุกได้มากขึ้นหลังพ้นยี่สิบนาทีไปแล้วซึ่งชี้ให้เห็นว่าทีมเยือนไม่มีพิษสงมากพอที่จะพลิกสถานการณ์จากที่แพ้มาในเกมแรก แถมช่วงท้ายเกือบโดนสอยเม็ดสามด้วย ดีที่ว่า ไมค์ เมนญอง เซฟได้หวุดหวิด ไม่เช่นนั้นเกมคงโอเวอร์แต่เพียงเท่านี้
จบครึ่งแรก มิลาน ครองบอลได้มากกว่าก็จริง 54:46% แต่เป็น อินเตอร์ ที่มีโอกาสสับไกมากกว่า 7:4 ครั้งโดยทั้งสองทีมส่งบอลเข้ากรอบได้ฝ่ายละครั้งเช่นกัน
นอกจากนี้ มันบ่งบอกถึงการเป็นเกมลูกหนังสไตล์เมืองพิซซ่าได้เป็นอย่างดีเนื่องจากทั้งสองทีมงัดลูกฟาวล์ตอดเล็กตอดน้อยมาใช้กันตลอดเพื่อไม่ให้คู่แข่งเดิมเกมรุกได้อย่างไหลรื่นโดยครบ 45 นาทีแรกมีการทำฟาวล์รวมกัน 22 ครั้งซึ่งเป็นสถิติสูงที่สุดในเกมครึ่งแรกของถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นนี้
4. ปีศาจแดงดำหมดสภาพ
กลับมาบู๊กันต่อในครึ่งหลัง เกมของ มิลาน ยังไม่ดีขี้น และไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันจนในที่สุดนาทีที่ 74 มาร์ติเนซ ซึ่งคลำเป้าเกมแรกได้ก็ดับความหวังของทีมร่วมเมืองลงสนิทกับการซัดประตูโทนพา งูใหญ่ เลื้อยเข้าไปเล่นในนัดชิงชนะเลิศอย่างสะดวกโยธิน
สำหรับประตูล่าสุดของหัวหอกอาร์เจนไตน์ทำให้เขามีสถิติสอยตาข่ายรวมทุกรายการในซีซั่นนี้เพิ่มเป็น 25 ลูกแล้วซึ่งถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดร่วมของเขาในหนึ่งซีซั่นกับ งูใหญ่ และเป็นรองแค่ วิคเตอร์ โอซิมเฮน รายเดียวเท่านั้นในซีซั่นนี้เนื่องจากสตาร์ทีม นาโปลี กระทุ้งไปแล้วรวมทุกรายการ 28 ประตู
จากความสำเร็จดังกล่าว อินเตอร์ สร้างผลงานสอยตาข่ายได้มากถึง 9 นัดจาก 12 นัดในถ้วยหูใหญ่ของซีซั่นนี้ และเป็นรองแค่ เรอัล มาดริด ทีมเดียวเนื่องจากแชมป์เก่าพังประตูได้มากถึง 11 นัด
เท่านั้นไม่พอ ทีมของ อินซากี้ ยังแสดงให้เห็นถึงการมีเกมรับที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอีกด้วยโดยพวกเขามีคลีนชีต 8 นัดแล้วซึ่งมากกว่าทุกทีมในรายการนี้ของซีซั่นนี้
ด้าน มิลาน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสมควรตกรอบแต่เพียงเท่านี้เนื่องจากยิงประตูไม่ได้มากถึง 5 นัดจาก 12 นัดในศึกบิ๊กเอียร์ซีซั่นนี้ซึ่งไม่มีทีมไหนอีกแล้วที่ฝืดมากไปกว่าพวกเขา
ขณะเดียวกัน เกมนี้ ปีศาจแดงดำ ส่งบอลเข้ากรอบแค่หนเดียวอีกด้วยมันจึงชัดเจนว่าพวกเขาไม่คู่ควรต่อการผ่านเข้าไปเล่นในนัดชิงชนะเลิศแม้จบ 90 นาทีจะเป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่า 56:44% แต่เป็น อินเตอร์ ที่ได้ส่องยิงมากกว่า 15:5 ครั้ง และส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่าเช่นกัน 4:1 ครั้ง
5. อินเตอร์ ครองเมืองชัดเจน
รวมเกมล่าสุด อินเตอร์ ทำศึกกับ มิลาน ในทุกรายการรวมเป็นนัดที่ 237 แล้ว
เฉพาะศึก เซเรียอา ทั้งสองทีมตะบันแข้งกันมา 178 นัดนับตั้งแต่ปี 1908 หลังจาก งูใหญ่ แยกตัวออกจาก ปีศาจแดงดำ ไปตั้งทีมขึ้นมาใหม่
อย่างไรก็ดี เมื่อนับรวมรายการอื่นทั้งฟุตบอลถ้วยในประเทศ และฟุตบอลสโมสรยุโรป อินเตอร์ เพิ่มสถิติที่เหนือกว่าได้มากขึ้นไปอีกโดยถึงตอนนี้พวกเขากำชัยเหนือคู่ปรับร่วมเมืองได้เป็น 89 นัดแล้ว และแพ้ 69 นัด ขณะที่อีก 79 นัดจบลงด้วยการเสมอกัน