จบกันไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ที่สังเวียน ซานติอาโก้ เบร์นาเบว หลังจากที่ เรอัล มาดริด เปิดบ้านเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปด้วยสกอร์ 1-1 เมื่อวันอังคารที่ 9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
ด้วยความที่ตอนนี้มันไม่มีกฎประตูทีมเยือนอีกต่อไปแล้วทำให้สกอร์ที่ออกมามันไม่ถือว่ามีใครที่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบสำหรับการลงเล่นนัดสองที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ซึ่งวันนี้เรามีเกร็ดบางอย่างที่น่าสนใจจากนัดแรกมานำเสนอกัน
- เรือใบไร้พ่าย
ช่วงหลายนัดที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ ทำผลงานได้สุดยอดอย่างต่อเนื่องจนทำให้มันไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาจะกำลังมีลุ้นทำทริปเปิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาลนี้ ซึ่งหากมองให้ลึกลงไปแล้วนั้นมันก็จะเท่ากับว่าพวกเขาไม่แพ้ใครมา 21 นัดติดต่อกันในทุกรายการเข้าไปแล้ว โดยครั้งสุดท้ายที่พบกับความปราชัยคือเกมลีกที่แพ้ สเปอร์ส 0-1 เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
สำหรับ 21 เกมของการไร้พ่ายนั้น แบ่งเป็นการชนะ 17 เกมกับเสมอ 4 หน โดยใน 4 เกมที่เสมอนั้นมาจากเกมเยือนทั้งหมด แถมในจำนวนนั้นก็มีถึง 3 หนที่เป็นเกมเยือนในถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก แถมยังเป็นสกอร์ 1-1 เหมือนกันด้วย โดยนอกจากเกมล่าสุดก็คือวันที่พวกเขาบุกไปเสมอกับ แอร์เบ ไลป์ซิก ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก กับวันที่ออกไปเจ๊า บาเยิร์น ในรอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง
- วินิซิอุส ร้อนแรง
ยังคงพิสูจน์ตัวเองได้ว่าสามารถเป็นแกนหลักให้กับ เรอัล มาดริด ได้แม้ว่าจะยังอายุน้อย สำหรับ วินิซิอุส จูเนียร์ โดยประตูล่าสุดถือเป็นการยิงในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ลูกที่ 15 ของดาวเตะชาวบราซิเลี่ยน จากการลงเล่น 45 นัด
ประตูดังกล่าวทำให้ วินิซิอุส จูเนียร์ กลายเป็นนักเตะจากทวีปอเมริกาใต้อายุน้อยที่สุดอันดับ 3 ที่ยิงใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แตะหลัก 15 ลูก ด้วยวัยเพียง 22 ปีกับ 301 วัน โดยอันดับ 1 คือ ลโอเนล เมสซี่ ที่ทำได้ตอนอายุ 21 ปีกับ 288 วัน ส่วนที่ 2 ก็คือ โรดรีโก้ เพื่อนร่วมทีม มาดริด ของ วินิซิอุส จูเนียร์ ที่ทำสำเร็จตอนอายุ 22 ปีกับ 99 วัน
- ระยะอันตรายของ เดอ บรอยน์
ปกติแล้วเวลาพูดถึง เควิน เดอ บรอยน์ สิ่งแรกที่จะผุดขึ้นมาในหัวของหลายคนก็คือวิสัยทัศน์การผ่านบอลที่เหนือชั้นของเจ้าตัว แต่ที่จริงแล้วดาวเตะชาวเบลเยียมก็เป็นคนที่ทำประตูได้ดีในระดับหนึ่งเหมือนกัน และเกมล่าสุดก็เป็นอีกหนึ่งครั้งที่เขาพิสูจน์ให้เห็นถึงเรื่องนั้น โดยมันถือเป็นประตูที่ 14 ของเขาในการเล่นถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก
ทั้งนี้ ในจำนวน 14 ลูกที่ว่านั้น มีถึง 7 ประตูที่มาจากการยิงนอกกรอบเขตโทษ หรือถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็คือสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ทำให้หากนับตั้งแต่ที่ เดอ บรอยน์ ย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อฤดูกาล 2015-16 แล้วนั้น มันก็ไม่มีนักเตะคนไหนอีกแล้วที่มีเปอร์เซ็นต์การทำประตูจากนอกกรอบเขตโทษในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ดีกว่าเขา หากนับเฉพาะคนที่ทำประตูในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก แบบทุกระยะได้อย่างต่ำ 10 ลูก
- ลางร้ายของใคร ?
ผลการแข่งขันที่ออกมาทำให้นี่นับเป็นครั้งที่ 10 เข้าไปแล้วที่ มาดริด ไม่ได้รับชัยชนะในเกมรอบน็อกเอาต์ของถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก ทั้งที่ได้เล่นที่บ้านของตัวเองในนัดแรก โดยในบรรดา 9 ครั้งก่อนหน้านี้นั้น มีเพียง 2 หนที่พวกเขาเรียกฟอร์มเก่งกลับมาในนัดสองและสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้
ฟังดูแล้วมันเหมือนเป็นลางร้ายของ มาดริด ใช่ไหม ? แต่ประเด็นก็คือทั้ง 2 ครั้งที่ มาดริด เข้ารอบได้นั้น มันเกิดขึ้นที่เมืองแมนเชสเตอร์ทั้งหมด เพียงแต่เป็นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่อริร่วมเมืองของ แมนฯ ซิตี้ โดยครั้งแรกคือเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ ฤดูกาล 1999-00 ที่ มาดริด เปิดบ้านเสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-0 ก่อนจะบุกไปชนะ 3-2 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
สำหรับครั้งที่สองเกิดขึ้นในฤดูกาล 2012-13 และเป็นรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยตอนนั้นนัดแรกที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว จบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 แต่ในนัดสอง มาดริด บุกไปเฉือนชนะได้ 2-1 ดังนั้น แมนฯ ซิตี้ ก็ต้องเล่นให้ดีเพื่อทำให้มั่นใจว่าคำสาปจากเพื่อนร่วมเมืองจะไม่ลามมาถึงพวกเขาด้วย
- เด็กเกร็ดบอล -