ศึกอภิมหายุทธ ยูซีแอล รอบตัดเชือก ยกแรก ระหว่าง เรอัล มาดริด กับ แมนฯ ซิตี้ ที่เป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมกัน 14 สมัย จบลงด้วยการเสมอกันไป ด้วยสกอร์ 1-1
และนี่คือสิ่งที่ผู้ชมทางบ้านอย่างผมอยากจะบอก
1️. ถือเป็นเกมที่มีทั้งคุณภาพและความบันเทิง
เมื่อทั้ง 2 ทีมห้ำหั่นกันด้วยความสามารถของผู้เล่น และเหลี่ยมเล่ห์กลยุทธของผู้เป็นกุนซือ โดยสู้กันอย่างดุเดือดและสนุกสนาน โดยมีการยิงประตูสวยๆ ให้ดู 2 ประตู
2. ตอนนี้ วินิซุอุส จูเนียร์ สถาปนาตัวเองเป็นดาวเตะระดับเดียวกับ คิลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ กับ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ แล้วนะครับ
ลองนึกถึงกองหน้า 3 ประสานที่ประกอบด้วยผู้เล่น 3 ตัวนี้ดูนะครับว่ามันจะสะเด่าไปเลยอีน้องขนาดไหน
แต่เกมนี้ หัวหอกของ แมนฯ ซิตี้ ถูกตัดออกจากเกม
3. เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จัดทีมในระบบ 4-3-3 แต่ในบางจังหวะมันจะพลิกแพลงและยืดหยุ่นเป็นระบบ 3-2-2-3 หรือ 3-2-5 โดยมี จอห์น สโตนส์ เป็นตัวแปร
คือในผัง 'ไอ้หิน' จะยืนเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ รูเบน ดิอาซ
แต่เวลาครองบอลเล่นเกมรุก จอห์น สโตนส์ จะขยับขึ้นมาเป็นมิดฟิลด์ แถมเป็นมิดฟิลด์ที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นสูงถึงหน้ากรอบเขตโทษคู่แข่งเลยทีเดียว
ในจังหวะที่เขาขึ้นสูง รูปทรงของทีมเรือใบจะปรับเป็นสูตร 'หลังสาม' เมื่อฟูลแบ็ค 2 ข้าง อย่าง ไคล์ วอล์คเกอร์ กับ มานูเอล อาคันยี่ จะขยับเข้ามาสวมบทปราการหลังตัวกลาง
4. แม้จะเล่นที่บ้านของ เรอัล มาดริด แต่ด้วยรูปแบบการเล่นและทีมเวิร์ค แมนฯ ซิตี้ จึงครองบอลทำเกมรุกได้มากกว่า
ก่อนเกมมีนักข่าวถามกุนซือของทีมชุดขาวสะอาดว่าจะหยุดหัวหอกมหาประลัยอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ อย่างไร ???
'อันเช่' ตอบว่า...ไม่ใช่แค่ไอ้เด็กยักษ์คนเดียวที่ต้องหยุด มันต้องหยุดทั้งทีมต่างหาก เพราะ แมนฯ ซิตี้ เป็นทีมที่จัดอยู่ในประเภทด่วนวินาศหยุดไม่อยู่ !!!
ผู้เล่นชุดขาวใช้วิธีถอยลงไปตั้งรับต่ำพลางบีบพื้นที่ในแดนกลางให้เหลือน้อยที่สุด โดยปล่อยให้ทีมเยือนต่อบอลกันไปมาแล้วรอดักตัดเอา
ด้วยวิธีนี้สามารถตัดหัวหอกราศียักษ์สายพันธุ์ไวกิ้งออกจากเกม เพราะบอลเดินทางมาไม่ค่อยถึง
เมื่อแย่งบอลมาครองได้ มาดริด ก็สร้างความระทมกบาลให้ผู้มาเยือนได้มิใช่เบา เพราะมีผู้เล่นที่รอบจัดอย่าง โทนี่ โครส กับ ลูก้า โมดริช ที่สามารถคุมจังหวะ ไม่เสียบอลง่ายๆ แถมคิดเร็วทำเร็วหาจังหวะตอบโต้ได้แบบเจ็บๆ
มาดริด นำ 1-0 ทั้งที่มีโอกาสครองบอลแค่ 30% เท่านั้น
5. ตอนแรก ท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมก็คาดว่าครึ่งหลัง ทีมเยือนคงดาหน้าบุกอยู่ข้างเดียว เพื่อทวงประตูตีเสมอ
ที่ไหนได้นะครับ กลับเป็นเจ้าถิ่นที่ครองบอลได้มากขึ้น แล้วบุกใส่ แมนฯ ซิตี้ เป็นระลอก ขณะที่เกมรับก็ไม่มีอะไรบกพร่อง
เรียนตามตรงว่าโอกาสที่สกอร์จะเปลี่ยนเป็น 2-0 มีมากกว่า 1-1
แต่นี่แหละเกมลูกหนัง
หรือที่ชอบเซดกันว่า...ฟุตบอลลูกกลมๆ มีลมอยู่ข้างใน
ความผิดพลาดแค่นิดเดียวของ เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า ส่งผลให้ แมนฯ ซิตี้ ตัดบอลได้ ก่อนที่ อิลคาย กุนโดกัน จะป้ายบอลให้ เควิน เดอ บรอยน์ พุ่งเข้ามาตะบันตูมเดียว
เสียงกะซวกไส้ดัง...ซวบบบบบบ !!!
มาดริด พลาดแค่นิดเดียวเอง เสียประตูทันที แถมก่อนจังหวะนี้เหมือนผู้เล่นทีมเยือนจะทำบอลจะออกข้างไปก่อนซะด้วย ทว่าผู้ผดุงความยุติธรรมอย่าง VAR กลับเพิกเฉย
แมนฯ ซิตี้ ตีเสมอเป็น 1-1 ก่อนเกมจะจบด้วยสกอร์นี้ คิดแล้วก็น่าเสียดายแทน 'แชมป์เก่า' เพราะหากมีชัยในเกมแรก แล้วบุกไปเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม มันน่าจะเร้าใจกับเร้าตีนมากกว่านี้
คือด้วยสกอร์ 1-1 แล้วกลับไปเล่นในบ้านตัวเอง มันช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ ถือครองความได้เปรียบมากกว่า เช่นเดียวกับมีโอกาสเป็นผู้ชนะมากกว่า
อย่างไรก็ตาม
ต้องไม่ลืมว่า เรอัล มาดริด คือผู้เชี่ยวชาญและชำนาญการด้าน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มากที่สุดในเมืองมนุษย์ มิหนำยังถูกโฉลกกับถ้วยหูยานใหญ่ใบนี้ยิ่งนัก
ผิดกับ แมนฯ ซิตี้ ที่อาภัพกับบอลถ้วยยุโรป
ดังฉะนั้นมันก็บ่แน่หรอกนาย !!!
"บอ.บู๋"