วินิซิอุส 1 - เดอ บรอยน์1,โครงการสามแชมป์เป็นไปได้! 5 ข้อ แมนซิตี้ เจ๊า มาดริด ตัดชปล. ยกแรก

วินิซิอุส 1 - เดอ บรอยน์1,โครงการสามแชมป์เป็นไปได้! 5 ข้อ แมนซิตี้ เจ๊า มาดริด ตัดชปล. ยกแรก
ดวลเกือกกันได้อย่างคู่คี่สูสีจริงๆสำหรับเกมการฟาดแข้งฟุตบอล แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศนัดแรกระหว่าง เรอัล มาดริด กับ แมนฯ ซิตี้ ที่สนาม ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เมื่อวันอังคารที่ 9 พ.ค. ซึ่งจบลงด้วยผลเสมอ 1-1

แม้เกมในครึ่งแรก เรือใบสีฟ้า จะร่ายลีลาได้เหนือกว่าหลายขุม แต่กลายเป็นว่าพวกเขาเสียประตูให้ วินิซิอุส จูเนียร์ ก่อน จากนั้นในครึ่งหลังซึ่งเจ้าบ้านพลิกฟอร์มกลับมากดดันอาคันตุกะได้บ้าง เควิน เดอ บรอยน์ ก็คายพิษสงตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จซึ่งชี้ให้เห็นว่าฟุตบอลลูกกลมๆมีลมอยู่ข้างใน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

1. ราชันขาด มิลิเตา ติดโทษแบน


เรอัล มาดริด ประสบกับปัญหาในเกมรับเล็กๆเนื่องจาก เอแดร์ มิลิเตา ปราการหลังทีมชาติ บราซิล ติดโทษแบนหมดสิทธิ์ลงสนามในเกมนี้

กระนั้นก็ดี ราชันชุดชาว ยังมี อันโตนิโอ รือดิเกอร์ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวกลั่นเป็นหัวใจสำคัญในเกมรับ

สำหรับ ลูก้า โมดริช มิดฟิลด์จอมเก๋าวัย 37 ปีออกสตาร์ตได้ตามคาดหลังผ่านการทดสอบความฟิตลงเล่นเป็นตัวสำรองได้ในช่วงท้ายเกมชิงดำถ้วย โกปา เดล เรย์

รวมแล้วเจ้าบ้านสลับโผนักเตะ 11 คนแรกแค่สองรายจากเกมชนะ โอซาซูน่า 2-1 โดยมี โมดริช กับ รือดิเกอร์ ได้ลงเล่นแทน มิลิเตา กับ ออเรเลียง ชูอาเมนี่ ขณะที่ เอดูอาร์โด้  กามาวินก้า รับภาระแบ็คซ้ายอีกหนตามที่ คาร์โล อันเชล็อตติ เปรย

2. เรือใบปรับแผงหลัง


แมนฯ ซิตี้ บุกมาเยือนรังของแชมป์เก่าโดยไม่มี นาธาน อาเก้ ซึ่งเจ็บกล้ามเนื้อน่องลงบู๊ไม่ได้

ด้วยเหตุนี้  เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จึงวางหมากให้ มานูเอล อาคันจี รับบทแบ็คซ้าย ขณะที่ในแนวรุกมี เควิน เดอ บรอยน์ กับ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ เป็นตัวชูโรง

เทียบจากเกมลีกนัดเฝ้าบ้านเฉือนชนะ ลีดส์ 2-1 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เรือใบสีฟ้า ปรับโผตัวจริงหกรายโดยมี ไคล์ วอล์คเกอร์ , รูเบน ดิอาส , จอห์น สโตนส์ , แบร์นาร์โด้ ซิลวา , โรดรี้ และ แจ็ค กรีลิช ได้ลงเล่นแทน เอมเมอริค ลาปอร์กต์ , อาเก้ , ริโก้ ลูอิส , ริยาด มาห์เรซ , ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ และ ฟิล โฟเด้น

3. แสบจริงทิงเจอร์เรียกพี่


ต้องให้นิยามนี้กับ วินิซิอุส จูเนียร์ อย่างไม่มีเงื่อนไขเพราะแม้ เรือใบสีฟ้า จะบุกกดดันใส่ ราชันชุดขาว ตั้งแต่ออกสตาร์ต แต่จังหวะง้างยิงหนแรกของทีมเจ้าบ้านสามารถทำให้พวกเขาออกนำได้ในนาทีที่ 36

หลังจากผู้ตัดสินเป่านกหวีดเริ่มเกม แมนฯ ซิตี้ โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าเกรงขามกับการครองเกมรุกได้ฝ่ายเดียว และทำเอา ติโบ กูร์กตัวส์ งานชุกตั้งแต่หัววันที่ต้องออกแรงเซฟจังหวะยิงจากหน้าเขตโทษของทั้ง เควิน เดอ บรอยน์ และ โรดี้ รวมถึงลูกโหม่งของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ด้วย

อย่างไรก็ดี ฟุตบอลคือการทำประตู และในที่สุด วินิซิอุส ก็ทำในสิ่งที่กองเชียร์ เรือใบสีฟ้า ไม่อยากเชื่อกับจากการสับไกจากหน้าเขตโทษพาแชมป์เก่านำ 1-0 ในจังหวะที่ กามาวินก้า พาบอลบุกขึ้นมาไหลให้เข่นจากระยะ 20 หลา

และนี่เองที่เป็นเครื่องหมายการค้าของ เรอัล มาดริด ในยุคของ อันเช่ ซึ่งไม่ต้องการโอกาสมากมายเลย แต่สามารถเปลี่ยนให้เป็นสกอร์ได้จากโอกาสหนแรกของทีม ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ได้ยิง 6 ครั้ง แถมเข้ากรอบ 4 ครั้งอีกต่างหาก อีกทั้งครองบอลได้เหนือกว่า 68:42% ด้วย แต่ต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังอย่างไม่น่าตกตะลึง

4. ครึ่งหลังแลกหมัดสุดมัน


กลับมาบู๊กันในครึ่งหลัง ทั้งสองทีมเปิดฉากบุกเข้าหากันชนิดใครดีใครอยู่เนื่องจาก เรอัล มาดริด เริ่มมีความมั่นใจหลังยันเกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ ได้อยู่หมัด แถมได้ประตูนำด้วย ขณะที่ทีมเมืองผู้ดีไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินหน้าเต็มสูบหลังตกเป็นรองทั้งๆที่เล่นได้เหนือกว่าอย่างชัดเจน

และอันที่จริง เกมโดยรวมตั้งแต่เริ่มครึ่งหลัง ราชันชุดขาว พลิกกลับมาข่ม เรือใบสีฟ้า ได้ด้วย แต่ถึงนาทีที่ 67  สกอร์ก็เปลี่ยนเป็น 1-1 จนได้เมื่อ เดอ บรอยน์ จอมส่องไกลโชว์ความคมซัดจากหน้าเขตโทษเข้าประตูอย่างเฉียบขาดหลังจาก กามาวินก้า ผ่านบอลเข้ากลางแย่แม้ ณ นาทีนั้นเจ้าบ้านเริ่มตีตื้นอย่างเห็นได้ชัดกับการครองบอลที่ไล่มาเป็น 44:56% และมีโอกาสสอยตาข่ายมากขึ้นแม้จะยังตามหลัง 7:10 ครั้ง

จากการสับไกของสตาร์ทีมชาติ เบลเยี่ยม ทำให้เขากระทุ้งจากหน้าเขตโทษตุงตาข่ายเป็นเม็ดที่ 7 จาก 14 เม็ดในรายการนี้แล้วนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีม แมนฯ ซิตี้ ในซีซั่น 2015/16 ซึ่งถือเป็นสถิติที่ดีที่สุดเหนือนักเตะทุกรายในถ้วยใบนี้

ครบ 90 นาที แมนฯ ซิตี้ ครองบอลได้มากกว่าลดลงไปเยอะเหลือ 56:44% แถมเป็น เรอัล มาดริด ด้วยที่แซงชนะจากโอกาสสับไก 13:10 ครั้ง แต่ส่งบอลเข้ากรอบได้น้อยกว่า 3:6 ครั้ง

สำหรับ กวาร์ดิโอล่า ปรากฏว่าเขาเลือกที่จะไม่เปลี่ยนตัวสำรองลงเล่นเลยแม้แต่รายเดียวซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในรอบตัดเชือกถ้วย แชมเปี้ยส์ลีก นับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่ใช้งานตัวสำรองเช่นกันในเกมบู๊กับ เอซี มิลาน ของ อันเชล็อตติ ในซีซั่น 2006/07

สำหรับ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ดาวยิงตัวฉกาจของทีมเยือน อย่างที่เห็นกันว่าแผลงฤทธิ์ไม่ออกเลย และได้สัมผัสบอลตลอดทั้งเกมแค่ 21 ครั้งเท่านั้นซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยที่สุดในสนาม แถม เอแดร์ซอน นายทวาร แมนฯ ซิตี้ ยังผ่านบอลได้มากกว่าศูนย์หน้าทีมชาติ นอรเวย์ ด้วยจากจำนวน 19:13 ครั้ง

5. สามแชมป์ไม่ไกลเกินฝัน


หลังบุกมาตีเสมอ เรอัล มาดริด ได้สำเร็จ 1-1 ต้องบอกว่า แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสเข้าชิงชนะเลิศมากกว่าเนื่องจากเกมหน้าซึ่งเป็นเหมือนเกมชี้ชะตา พวกเขาจะได้กลับไปเล่นในบ้านวันที่ 17 พ.ค. และได้เปรียบในเรื่องแรงเชียร์บ้าง

ฉะนั้นแล้ว โครงการเดินหน้าล่าทริปเปิ้ลแชมป์ของ เรือใบสีฟ้า จึงมีความเป็นไปได้มากขึ้นเพราะหากเขี่ยขวากหนามสำคัญอย่างแชมป์เก่าซึ่งเป็นเจ้าพ่อรายการนี้ได้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้นไม่ว่าคู่ชิงชนะเลิศจะเป็น เอซี มิลาน หรือว่า อินเตอร์ มิลาน

ขณะเดียวกัน ด้วยฟอร์มที่น่าเกรงขามเยี่ยงนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จึงดูเป็นรอง แมนฯ ซิตี้ อยู่หลายช่วงตัวสำหรับนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ ส่วนเกม พรีเมียร์ลีก มันแน่ยิ่งกว่าแช่แป้งอยู่แล้วว่าหากทีมเงินถังไม่พลาดเองซะอย่าง ยังไงซะโทรฟี่ใบงามก็จะยังถูกตั้งโชว์อยู่ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เหมือนเดิม

ยิ่งไปกว่านั้น มีสถิติบ่งชี้ด้วยว่า ราชันชุดขาว กระเด็นตกรอบมากถึงห้าจากหกครั้งของถ้วยใบนี้หากพวกเขาเสมอในบ้านนัดแรกด้วยสกอร์ 1-1 มันจึงชี้ให้เห็นว่าโอกาสเข้าชิงชนะเลิศของ แมนฯ ซิตี้ มีเปอร์เซนต์เป็นไปได้สูงปรี๊ด

ในทำนองเดียวกัน เรอัล มาดริด ผ่านเข้ารอบในรอบน็อกเอาต์ถ้วยใบนี้ได้แค่สองจากเก้าครั้งเท่านั้นหากพวกเขาไม่ชนะเกมแรกในบ้านโดยมี แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นเหยื่อทั้งสองหนในซีซั่น 1999/2000 และ 2012/13

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ขึ้นชื่อว่า เรอัล มาดริด แชมป์ 14 สมัย เรือใบสีฟ้า อย่าชะล่าใจเป็นอันขาดเพราะหากไม่แน่จริงพวกเขาคงไม่ได้แชมป์ใบนี้มากถึงขนาดนี้ และที่แน่ๆ ยักษ์ใหญ่จากแดนกระทิงดุเพิ่งสร้างผลงานระบือลือลั่นบุกมาอัด ลิเวอร์พูล หงายเก๋งที่ แอนฟิลด์ 5-2 มาแล้วในรอบ 16 ทีมนัดแรกของซีซั่นนี้ทั้งๆที่โดน หงส์แดง กระซวกนำห่างถึง 2-0 ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทีมจาก ลา ลีกา รายนี้มีทีเด็ดทีขาดทุกนาที

ขณะเดียวกัน หากบุกมาเขี่ย แมนฯ ซิตี้ กระเด็นตกรอบได้ ราชันชุดขาว จะสร้างชื่อกำจัดทีมจาก พรีเมียร์ลีก ได้แบบเบ็ดเสร็จสามทีมรวดไล่ตั้งแต่ ลิเวอร์พูล ตามด้วย เชลซี ในรอบแปดทีม และ เรือใบสีฟ้า ในรอบตัดเชือก แต่มันจะเป็นไปได้หรือเปล่าก็ต้องรอดูกันเนื่องจากซีซั่นนี้ ทีมของ กวาร์ดิโอล่า เล่นได้อย่างแข็งแกร่งอย่างยิ่ง และสานต่อผลงานไร้พ่ายได้เป็น 21 นัดติดต่อกันแล้วในทุกรายการ (ชนะ 17 เสมอ 4) นับตั้งแต่ปราชัยให้กับ สเปอร์ส 1-0 เมื่อเดือนก.พ. โดยผลเสมอสามจากสี่นัดเป็นเกมเยือนถ้วยหูใหญ่


ที่มาของภาพ : gettyimages
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport