ไม่มีปาฏิหาริย์ที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เมื่อ เรอัล มาดริด เปิดบ้านย้ำแค้น ลิเวอร์พูล ไปอีก 1 ครั้ง ด้วยชัยชนะ 1-0
และนี่คือสิ่งที่ผู้ชมทางบ้านอย่างผม ซึ่งอุตส่าห์อดหลับอดนอนช่วยเชียร์อยากจะบอก
1. ลิเวอร์พูล มีอันต้องปราศจากมิดฟิลด์ตัวเก๋าอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ป่วย กับมิดฟิลด์ดาวรุ่งอย่าง สเตฟาน ไบเซติช ที่บาดเจ็บ
แต่ 'หงส์แดง' ต้องการชัยชนะด้วยระยะห่าง 3 ประตู เป็นอย่างต่ำ
เจอร์เก้น คล็อปป์ จึงถือโอกาสนี้ส่งตัวรุกลงไปแบบเต็มอัตราศึก ทั้ง โม ซาล่าห์, ดาร์วิน นูนเญซ, โคดี้ คักโป และดิโอโก้ โชต้า
ตอนรายชื่อผู้เล่น 11 ตัวจริงออกมา พบว่ามีมิดฟิลด์ตัวกลางแค่ 2 คน คือ ฟาบินโญ่ กับ เจมส์ มิลเนอร์ จึงอยากเห็นตำแหน่งในสนามว่าเป็นแบบไหน ???
ปรากฎว่า...
ดิโอโก้ โชต้า เป็นกองหน้าตัวเป้าครับ โคดี้ คักโป เป็นผู้เล่นหมายเลข 10 ขณะที่ โม ซาล่าห์ กับ ดาร์วิน นูนเญซ ถ่างออกไปเป็นปีกขวากับปีกซ้ายติดริมเส้นเลย ก่อนจะหุบเข้าในตามจังหวะของเกม
ระบบ 4-4-1-1 สลับ 4-2-3-1 สลับ 4-2-2-2 เปลี่ยนไปตามสถานการณ์
2. ทีนี้ไปดูตัวผู้เล่นของทีมชุดขาวบ้าง
แม้ว่านัดแรกจะบุกไปอัดพวกพรี่ๆ ถึงถิ่น โดยตุนสกอร์เอาไว้ถึง 5-2 แถมสุดสัปดาห์นี้มีศึกใหญ่อย่าง เอล กลาสซิโก้ แสยะยิ้มพลางยักคิ้วรออยู่ข้างหน้า
แต่ คาร์โล อันเชล็อตติ หรือที่สื่อลูกหนังรุ่นเก่าของเมืองไทยเรียกสั้นๆ ว่า 'พี่แช่' ก็ไม่ประมาท จัดชุดใหญ่อย่างให้เกียรติผู้มาเยือน เพราะย้อนกลับไปในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อ 2005 ที่ เอซี มิลาน ชวดแชมป์ ทั้งที่นำห่าง 3-0 กุนซือปีศาจแดงดำก็คือ 'พี่แช่' นี่แหละ
ระบบ 4-3-3 แดนกลางของ มาดริด ประกอบด้วย เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า, โทนี่ โครส และลูก้า โมดริช
ส่วนกองหน้า 3 คน การิม เบนเซม่า หน้าเป้า ขนาบข้างด้วย วินิซิอุส เจอาร์ กับ เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้
อืมมมมมมมม...นะ
3. มิดฟิลด์ตัวกลางของ ลิเวอร์พูล มีแค่ 2 คน คือ ฟาบินโญ่ ที่ฟอร์มตก และเจมส์ มิลเนอร์ ที่อายุมากขึ้น ขณะที่กลางของ เรอัล มาดริด มี 3 คน เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า เป็นตัวรับพลางขับเคลื่อนโดย โทนี่ โครส กับ ลูก้า โมดริช ที่เขี้ยวยาวลากถึงพื้นดินจนเป็นรอย
แล้วแบบนี้มันจะไปสู้กันได้อย่างไร
แน่นอนครับว่าแดนกลางของ ลิเวอร์พูล สู้ไม่ได้ !!!
จบครึ่งแรก ผมเห็นเด็กหงส์ในโลกโซเชี่ยลบ่นกันระงมเลยครับว่า 'กลางสู้ไม่ได้'
เจอร์เก้น คล็อปป์ รู้อยู่แล้วครับว่ากองกลางทีมตัวเองสู้คู่แข่งไม่ได้ แถมขุมพลังสำคัญในแดนกลางก็ดันไม่พร้อมลงสนาม
สิ่งที่ผมเห็นจากบนลานจอดหญ้าคือ ลิเวอร์พูล ไม่ต้องการจะสู้ตรงกลางสักหน่อย และไม่ต้องการจะคอนโทรลเกมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ไอ้ที่โหลดผู้เล่นประเภทกองหน้าลงไปพร้อมกัน 4 คน ก็เพราะต้องการจะอาศัยการบุกแบบฉาบฉวย เพื่อชิงจังหวะขึ้นนำให้ได้ก่อนตะหาก
4. ด้วยสถานการณ์ที่เป็นรองระดับหาทางกลับออกมาจากอเวจีมหานรก
พลพรรคหงส์แดงพยามจะ 'เฮฟวี่ เมทั่ล' ด้วยเพรสซิ่งเข้าใส่แล้วจู่โจมอย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีแรกแบบไม่มีอะไรจะเสีย
เป้าหมายคือทำประตูนำ 1-0 ให้เร็วที่สุด
หากโดนก่อนก็โดน เพราะไม่มีอะไรจะเสีย
ปัญหาคือผู้เล่นในชุดสีขาวมีความรอบจัดบรรลัย พวกเขาต่อบอลและทำชิ่งกันอย่างแม่นยำ เข้าขา และรู้ใจ จึงถูกไล่ไม่จน แถมแก้เพรสส์เก่งมาก
มิเท่านั้น เรอัล มาดริด ยังไม่อนุญาตให้ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เล่นเกมเร็วตามถนัด ด้วยการถอยลงไปคุมพื้นที่ และเดี๋ยว ลิเวอร์พูล ก็จะจ่ายบอลกันพลาดเสียเอง
ต่อเมื่อตัวเองเป็นฝ่ายบุกก็จะเน้นครองบอลซะมากกว่า ผู้เล่นไม่ได้เติมขึ้นไปมากมาย ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เรียกว่าเล่นบนความรัดกุม
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ โดยยังชิงจังหวะขึ้นนำไม่ได้ งานก็จะยากมากขึ้นเรื่อยๆ จนผู้เล่นหงส์แดงก็เริ่มถอดใจไปทีละนิด
ว่าแล้วกุนซือตะโปดเหล็กอย่าง 'มิสเตอร์เจเค' พยายามดิ้นเฮือกสุดท้าย ด้วยการถอด ดาร์วิน นูนเญซ กับ ดิโอโก้ โชต้า ออกจากสนาม แล้วส่ง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ลงไปพลางปรับระบบกลับมาเป็น 4-3-3
นอกจากจะไม่เป็นผลแล้วยังโดน เรอัล มาดริด กะซวกไส้อีกตามเคย และจบข่าวทันที
5. บทสรุปของเกมนี้
ลิเวอร์พูล ไม่ถึงกับสู้ไม่ได้นะครับ
เพราะไม่ได้จัดตัวมาห้ำหั่นกันเรื่องการครองบอลหรือคุมเกมอยู่แล้ว แถมตัวผู้เล่นก็ไม่พร้อม
ก่อนจะพังพาบ พวกพรี่ๆ ไม่ได้โดนล่อเป้า และมีโอกาสได้ประตูนำอยู่ 3-4 จังหวะเช่นกัน แต่ก็ไม่เด็ดขาดพอ
ที่สำคัญคือ ลิเวอร์พูล เด๊ดสะมอเร่แบบคาบ้านมาตั้งแต่นัดแรกแล้ว มิซ้ำยังรู้ตัวด้วยว่าเป็นเรื่องยากที่จะกลับชาติมาเกิดใหม่
ทว่าในเมื่อยังพอมีโอกาส แม้จะริบหรี่ก็ต้องขอลองสักหน่อย
ก่อนจะยอมรับความจริงว่าตัวเองตายไป....ตั้งนานแล้ว
บอ.บู๋