เกิดอะไรขึ้นกับนาโปลี

เกิดอะไรขึ้นกับนาโปลี
คืนวันพรุ่งนี้นาโปลีจะบุกไปเยือนกายารี่..

ใครที่เป็นแฟนบอลทีมปาร์เตโนเปคงยังไม่หายมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ รู้สึกหวิวๆ เหมือนร่วงหล่นจากที่สูง

ชีวิตพลิกผันเร็วเหลือเกินนะครับ บรรยากาศแห่งความสุขที่ได้ฉลองความสำเร็จที่รอคอยมาสามทศวรรษครึ่งยังล่องลอยอยู่เลย แต่ทำไมความสุขนั้นช่างแสนสั้น กินเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นเองก็ถูกกระชากกลับลงมาให้อยู่กับความจริงอันโหดร้ายเสียแล้ว

ฤดูกาลที่แล้วนาโปลีคือแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา สร้างผลงานชิ้นโบแดงผงาดเข้าป้ายเป็นอันดับหนึ่งสิ้นสุดการรอคอย 33 ปีตั้งแต่ยุค ดีเอโก้ มาราโดน่า

ล้างอาถรรพ์ที่ว่าถ้าไม่มีเสือเตี้ย ทีมศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองเนเปิลส์ทีมนี้จะไม่มีวันประสบความสำเร็จอีกได้ในที่สุด เป็นการปลดล็อกและเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง พร้อมก้าวออกจากร่มเงาอันยิ่งใหญ่ของยอดนักเตะหมายเลข 10 ที่สโมสรยกเลิกหมายเลขเสื้อให้

หกล้มคลุกคลานมานาน นาโปลีทำท่าว่าจะพร้อมแล้วสำหรับการสร้างอาณาจักรใหม่ในยุคใหม่ มี ออเรลิโอ เด เลาเรนติส เป็นประธานผู้ควบคุมทุกสิ่งอย่าง มีขุมกำลังที่เอกอุ มีเสียงเชียร์ที่ทรงพลัง มีความมั่นใจว่าข้าคือที่หนึ่ง ข้าทำได้

แต่เพียงแค่ไม่ถึงปี นาโปลีก็กลับคืนสู่สถานะเดิม คือเป็นเพียงทีมที่มีผลงานระดับกลางตาราง ชนะนัดแพ้นัดหรือสองนัดสลับกันไป หาความสม่ำเสมอไม่เจอ

ทั้งที่นักเตะส่วนใหญ่ก็ยังเป็นชุดเดิมจากฤดูกาลที่แล้ว เปลี่ยนแค่โค้ชใหญ่ ลูชาโน่ สปัลเลตติ ไปคุมทีมชาติอิตาลี และปราการหลังคนสำคัญ คิม มิน-แจ ย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค อาจสมทบด้วย เออร์วิง โลซาโน่ กับ เอลีฟ เอลมาส ฟันเฟืองที่ถูกขายไป พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น กับ แอร์เบ ไลป์ซิก ตามลำดับ

ก็เพียงเท่านั้น แต่ผลกระทบกลับรุนแรงเหลือเกิน ทั้งที่ วิคเตอร์ โอซิเมน ที่ตะบัน 26 ประตูเมื่อฤดูกาลที่แล้วยังอยู่ ควิชา ควารัตสเคเลีย ปรากฏการณ์แห่งจอร์เจียที่ยิง 12 จ่าย 10 ในกัลโช่ เซเรีย อา ซีซั่นแรกของตัวเองก็ยังไม่ไปไหน

สตานิสลาฟ โลบ็อตก้า, โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่, มาริโอ รุย, ฟร้องค์ อองกีซ่า, มัตเตโอ โปลิตาโน่, โจวานนี่ ซิเมโอเน่, จาโคโม่ ราสปาดอรี่, ปิโอเตอร์ ซีลินสกี้, อาเมียร์ ราห์มานี่, มาตีอัส โอลิเวร่า ฯลฯ ยังอยู่กับทีมทั้งนั้น

ความย่ำแย่ที่เกิดขึ้นคือเรื่องเกินคาด ความพ่ายแพ้ปรากฏบ่อยขึ้น การหลุดเสมอในเกมที่ควรจะชนะก็มาเยือนถี่กว่าเก่า และเมื่อรู้ตัวอีกที นาโปลีก็พบว่าตัวเองแพ้ไปแล้วถึง 8 นัดจากการลงเตะ 24 เกม จมอยู่อันดับ 9 ของตาราง และมีคะแนนตามหลัง อินเตอร์ มิลาน จ่าฝูงถึง 27 แต้ม

ในทางปฏิบัตินั้นจบแล้วสำหรับการป้องกันแชมป์ กระทั่งคืนสู่เวทีสโมสรยุโรปในถ้วยใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังลำบากเลยเพราะอยู่ห่างจากอันดับ 4 ถึง 12 คะแนน

ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาโปลี การเสียสปัลเลตติกับคิม มิน-แจ อาจเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันกับเราว่าต่อให้สองคนนี้ยังอยู่กับทีมแล้วทีมอัซซูร่าจะยังองอาจน่าเกรงขามเหมือนเดิม

บางทีฤดูกาลที่แล้วมันอาจเป็นฤดูกาลที่ภูเขาไฟลูกใหญ่ซึ่งอัดอั้นมานานได้เวลาระเบิดตูม ลาวาหินร้อนพรั่งพรูออกมาหมดจนไม่เหลืออะไรให้ระเบิดอีก และมาตรฐานของนาโปลีก็กลับไปอยู่ในจุดที่ควรจะเป็น เพราะว่ากันตามตรงคุณภาพโดยรวมของทีมยังสู้บรรดายักษ์ใหญ่จากแดนเหนือทั้ง อินเตอร์ ยูเวนตุส และ เอซี มิลาน ไม่ได้อยู่แล้ว

ทุกคนในทีมต้องท็อปฟอร์มพร้อมๆ กันจริงๆ ถึงจะเข่นมหาอำนาจจากมิลานและตูรินได้ อย่างที่เกิดขึ้นเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

นาโปลีเลือกเฟ้นกุนซือคนใหม่อย่างละเอียด รูดี้ การ์เซีย ถือเป็นมือดีคนหนึ่งของวงการลูกหนัง เคยพา ลีลล์ คว้าดับเบิลแชมป์ลีกเอิง-เฟร้นช์ คัพของฝรั่งเศส พาโอลิมปิก มาร์กเซยเข้าชิงยูฟ่า ยูโรปา ลีก หรือในอิตาลีก็ทำผลงานน่าประทับใจกับ โรม่า ในช่วง 3 ปีที่อยู่ในถิ่นโอลิมปิก สเตเดี้ยม 

แต่การ์เซียก็ทำงานได้เพียง 5 เดือนเท่านั้น พอถึงเดือนพฤศจิกายนก็อยู่ไม่ได้ต้องหลุดจากตำแหน่งหลังถูก เอ็มโปลี บุกเชือดคาถิ่น ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า สเตเดี้ยม

วอลเตอร์ มาซซาร์รี่ คนคุ้นเคยถูกดึงเข้ามากอบกู้สถานการณ์ นาโปลีในยุคแรกของมาซซาร์รี่ระหว่างฤดูกาล 2009/10 ถึง 2012/13 เต็มไปด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจ และแทบจะพูดได้ว่าเป็นสารตั้งต้นที่นำมาสู่ก้าวเดินแห่งเกียรติยศวันนี้

นักเตะอย่าง มาเร็ก ฮัมซิก, เอดินสัน คาวานี่, เอเซเกล ลาเวซซี่, คริสเตียน มาจโจ, ลอเรนโซ่ อินซินเญ่, โกรัน ปานเดฟ, ฮวน ซูนยิกา, บเลริม เซไมลี่, วาลอน เบห์รามี่, ก๊อกฮาน อินแลร์ ทยอยกันเข้ามาฝากผลงานที่น่าจดจำเอาไว้

เป็นยุคทองยุคหนึ่งของนาโปลี แต่สถานะของมาซซาร์รี่ในการคัมแบ๊กรอบนี้เป็นไปในลักษณะเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ของทีมมากกว่า

ในมือของมาซซาร์รี่ นาโปลีกลับแย่หนักลงไปกว่าเดิม จากอันดับที่ยังเกี่ยวๆ พื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รูดลงไปอยู่กลางตาราง เจอทีมใหญ่แทบจะแพ้เรียบวุธ โดนอินเตอร์บุกถล่มคาบ้าน 3 ลูก แพ้ยูเวนตุส แพ้โรม่า แพ้มิลาน เสมอมอนซา เสมอลาซิโอ เกมลีกนัดล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ต้องไล่ตีเสมอเจนัวในนาทีสุดท้าย แต้มหลุดมือไปอีก 2 แต้ม

โคปปา อิตาเลีย ก็ถูก โฟรซิโนเน่ ยกพวกมาถลุงถึงเนเปิลส์ 0-4 ตกรอบสิ้นสภาพตั้งแต่ไก่โห่

ความร้อนแรงของโอซิเมนและควารัตสเคเลียไม่เหลือแล้ว จากนักเตะที่ไม่มีใครหยุดอยู่กลายเป็นเพียงนักเตะที่มีความอันตรายพอตัวแต่สามารถรับมือได้

สถานะ Unstopable หายไป

แล้วหลังจาก 3 เดือนของการกลับมาช่วยทีม มาซซาร์รี่ ก็เป็นฝ่ายต้องไปอีกคน นาโปลีเลือกตั้งคนคุ้นเคยเก่าก่อนอย่าง ฟรานเชสโก้ คัลโซน่า มารับงาน กลายเป็นโค้ชคนที่ 3 เข้าไปแล้วในฤดูกาลเดียว

เหลือเพียงแค่สู้ศึกในซีซั่นนี้ให้ดีที่สุด เรื่องป้องกันแชมป์ลืมไปได้แล้ว ถ้าโชคดีอาจปีนกลับไปล่าตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีกได้ แต่เรื่องหนึ่งที่น่าสงสัยคือบทบาทของคัลโซน่าต่างหาก

เพราะแม้กุนซือวัย 55 ปีคนนี้จะเป็นคนกันเองกับสโมสร เคยเป็นมือขวาของทั้ง ซาร์รี่ และ สปัลเลตติ แต่ ณ ปัจจุบันเขายังทำงานให้สมาคมฟุตบอลสโลวาเกียในบทบาทสำคัญที่สุดเสียด้วยนั่นคือเป็นกุนซือทีมชาติ

ยูโร 2024 ที่กำลังจะมาถึงก็เป็น คัลโซน่า คนนี้ที่พาสโลวาเกียฝ่าด่านรอบคัดเลือกเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายได้ และก็จะคุมทีมสู้ศึกที่เยอรมันด้วย

ถือเป็นการเลือกที่เสี่ยงและบ้าบิ่นพอสมควรสำหรับนาโปลี เพราะดูเผินๆ เหมือนจะไม่ใช่การทำงานด้วยกันที่ดีเลยกับทุกฝ่าย สมาธิของ คัลโซน่า ควรจะอยู่ที่ทีมชาติกลับต้องมาแบ่งให้นาโปลี เช่นเดียวกับที่งานร้อยเปอร์เซนต์ของเขาควรจะทุ่มให้กับนาโปลีก็ต้องไปแบ่งให้ทีมชาติ

กระนั้นในประวัติศาสตร์ลูกหนังที่ผ่านมา มันก็เคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยควบทั้งตำแหน่งผู้จัดการชาติสกอตแลนด์และอเบอร์ดีน ดิ๊ก อั๊ดโวคาท ก็เคยคุมทั้งทีมชาติเบลเยียมและอาแซด อัลค์มาร์ ฟาติห์ เตริม ก็คุม กาลาตาซารายทไปพร้อมๆ กับทีมชาติตุรกีตั้ง 3 รอบ

กุส ฮิดดิ้งค์ เคยทั้งคุมพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ไปด้วยและคุมทีมชาติออสเตรเลียไปด้วย แถมหลังจากนั้นก็ยังคุมทีมชาติรัสเซียไปด้วย คุมทีมเชลซีไปด้วย หรือจะเป็นปรมาจารย์ ไรนุส มิเชลส์ ก็เคยควบงานกุนซือทั้งที่บาร์เซโลน่าและทีมชาติฮอลแลนด์ในเวลาเดียวกัน

เพราะในมุมที่น่าวิตก มันก็ย่อมมีเหตุผลในทางบวกสอดแทรกอยู่ ไม่อย่างนั้นสโลวาเกียกับนาโปลีคงยากที่จะตกลงกันได้

ทีมชาติสโลวาเกียอาจมองเห็นประโยชน์จากการที่คัลโซน่าได้ขัดเกลาแท็กติกทุกสัปดาห์ในเซเรีย อา ขณะที่นาโปลีได้โค้ชฝีมือไม่ธรรมดาดีกรีพาสโลวาเกียไปยูโรรอบสุดท้ายมาร่วมงานด้วย ทั้งยังมี โลบ็อตก้า กองกลางสโลวักของทีมเป็นตัวเชื่อม

คงต้องรอดูกันต่อไปล่ะครับว่าเส้นทางข้างหน้าของนาโปลีจะเป็นอย่างไร และสุดท้ายแล้วการทำงานแบบควบ 2 ตำแหน่งของคัลโซน่านี้จะไปสุดทางที่ตรงไหน

คัลโซน่ากับนาโปลีผ่านเกมแรกด้วยกันไปแล้ว ได้โอซิเมนซัดตีเสมอบาร์เซโลน่าผู้มาเยือนหวุดหวิดในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก

วันพรุ่งนี้ (อาทิตย์ 25 ก.พ.) นาโปลีจะข้ามทะเลทีเรเนียนไปเตะกับ กายารี่ เจ้าเกาะซาร์ดีเนีย เป็นเกมลีกนัดแรกของคัลโซน่าในบทบาทใหม่นี้

แฟนบอลนาโปลีคงหวังเพียงแค่ว่า ฟรานเชสโก้ คัลโซน่า จะทำงานได้ดี และไม่ต้องเป็นโค้ชคนที่ 3 ต่อจาก รูดี้ การ์เซีย กับ วอลเตอร์ มาซซาร์รี่ ที่กระเด็นตกงานกับทีมในซีซั่นนี้

ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น และชีวิตก็ก้าวเดินต่อไป เป็นหนึ่งปีที่ผาดโผนจริงๆ เลยนะครับสำหรับทีมอัซซูร่า..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport