33 ปีจากความทรงจำที่เจิดจรัสที่สุด มันยาวนานและต้องผ่านการต่อสู้มากมาย ผ่านการดิ้นรนเอาตัวรอด ผ่านความผิดหวังรุนแรงจนอดคิดไม่ได้ว่าความสุขอย่างวันนั้นจะมีโอกาสหวนกลับมาเยือนเมืองนี้อีกไหม
เพราะไม่ว่าจะพยายามเพียงใด ต่อสู้ถวายชีวิตเพื่อเกียรติยศยิ่งใหญ่นั้นแค่ไหน ก็ดูเหมือนจะมีเมฆหมอกแห่งความผิดหวังแผ่เข้ามาปกคลุมทุกครั้งไป
แชมป์ครึ่งฤดูกาลแรก 2 หนในยุค เมาริซิโอ ซาร์รี่ ลงเอยด้วยน้ำตา กระทั่งกวาด 91 คะแนนมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรและมากกว่าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา หลายสิบฤดูกาล ก็ยังเข้าเส้นชัยในตำแหน่งที่สอง
ในบางวาบของอารมณ์.. มันดูเหมือนผ่านแล้วผ่านเลย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของสโมสรและเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งนี้คงจะเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว และมันก็ผ่านไปแล้ว ผ่านไปนานแล้ว..
ผ่านไปพร้อมๆ กับเท้าซ้ายมหัศจรรย์ของชายที่ชื่อ ดีเอโก้ มาราโดน่า เมื่อ 33 ปีก่อน
ผ่านไปพร้อมๆ กับแสงแดดอันเจิดจ้าของบ่ายวันนั้นเมื่อปี 1990 ที่ชาวเมืองนาโปลีได้ฉลองสคูเด็ตโต้สมัยที่ 2 กันอย่างอิ่มเอมและมีความสุข
ผ่านไปพร้อมๆ กับความเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา สีฟ้าสดใสเริ่มกลับไปหมองหม่น พละกำลังที่เคยแข็งแกร่งต่อสู้กับเหล่ามหาอำนาจจากเมืองเหนืออย่างตาต่อต่อฟันต่อฟันเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไร้เรี่ยวแรง ต้องลงไปคลุกฝุ่นตั้งหลักกันใหม่
เส้นทางหลังจากนั้นคือการต่อสู้อย่างปากกัดตีนถีบ อย่าเพิ่งนึกถึงความเรืองรองครั้งเก่าเลย กับแค่จะได้เลื่อนชั้นคืนสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งไหมยังไม่มีใครกล้าให้ความมั่นใจ
33 ปีกว่าจะมาถึงวันนี้ นาโปลีต้องต่อสู้อย่างหนักจริงๆ
แต่แล้วในที่สุด ท่ามกลางความไม่แน่ใจเหล่านั้น มันก็เกิดขึ้นจนได้ การฉลองครั้งใหญ่ของชาวเนเปิลส์ในวันชูถ้วยแชมป์เซเรีย อา อย่างเป็นทางการเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความตระการตา ยิ่งใหญ่คู่ควรสมการรอคอย
จากริมฝั่งทะเลทีเรเนียน มองข้ามอ่าวเนเปิลส์ไปเห็นภูเขาไฟวิซูเวียสสูงตระหง่าน
ย่ำเท้าเดินชมความงามสง่าของจตุรัสเปลบิสซิโต้ ดูโอโม่ ปราการมหึมาของมาสคิโอ อันโจอิโน่ และปราสาทซานเตลโม่
ดื่มบรรยากาศอบอวลความสุขบนถนนโตเลโด้ ทักทายตึกรามบ้านช่องทรงสูงหันประจันหน้ากันในซอยแคบๆ ย่านควาร์ติเอรี่ สปาโญลี่
ลิ้มรสพิซซ่าต้นตำรับ.. ถิ่นกำเนิดของมันอยู่ที่นั่น
และแพสชั่นที่ท่วมท้นของชาวเมืองนาโปลี.. มันคงจะเป็นอย่างที่ ลูชาโน่ สปัลเลตติ พูดเอาไว้นั่นแหละ คุณต้องได้มาสัมผัสวิถีชีวิตของพวกเขา แล้วคุณจะเข้าใจว่าเมืองนี้กับผู้คนที่นี่พิเศษอย่างไร
------------------
ครั้งหนึ่งเมืองนาโปลีเคยมีทีมฟุตบอล 2 ทีม..
นาโปลีก็เหมือนสโมสรอื่นๆ มากมายในยุโรปที่มีจุดเริ่มต้นจากวัฒนธรรมวิ่งไล่เตะลูกบอลของคนอังกฤษ
ปี 1905 กะลาสีชาวอังกฤษชื่อ วิลเลียม พอธส์ ร่วมกับพรรคพวกก่อตั้งสโมสรฟุตบอลขึ้นที่เมืองเนเปิลส์ ใช้ชื่อว่า Naples football & Cricket club
ชื่อ Naples กับ Cricket บอกความเป็นอังกฤษชัดเจน เมือง Napoli ที่คนอิตาเลียนเรียกๆ กันนั้นมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Naples ขณะที่คริกเก็ตบอกความเป็นอังกฤษชัดยิ่งกว่าชื่อเนเปิลส์เสียอีก
Naples football & Cricket club คือทีมฟุตบอลทีมแรกของเมืองหลวงแคว้นคัมปาเนีย ใช้ชุดแข่งเสื้อลายทางสีน้ำเงิน-ฟ้า กางเกงดำ
หลังจากนั้นอีก 6 ปีคือในปี 1911 ผู้บริหารบางส่วนของ Naples football & Cricket club แยกตัวออกมาตั้งทีมฟุตบอลอีกหนึ่งทีมในชื่อ Internazionale Napoli ใช้เสื้อแข่งสีน้ำเงิน กางเกงขาว
เวลานั้นเมืองนาโปลีจึงมีทีมฟุตบอล 2 ทีมเหมือนที่เมืองมิลานมี เอซี มิลาน (ก่อตั้ง 1899) กับ อินเตอร์ มิลาน (1908) และเมืองตูรินมี ยูเวนตุส (1897) กับ โตริโน่ (1906) ขณะที่หลายเมืองในประเทศยังมีเพียงทีมเดียวอย่างที่เมืองเจนัวเพิ่งจะมี เจนัว (ก่อตั้ง 1893) แค่ทีมเดียว (ซามพ์โดเรียก่อตั้งในอีก 49 ปีให้หลังเมื่อปี 1946)
กระนั้น 2 ทีมแห่งเมืองนาโปลีก็เป็นคู่แข่งดาร์บี้แมตช์กันได้แค่ 11 ปีเท่านั้นเพราะเมื่อถึงปี 1922 ภาวะฝืดเคืองหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (1914-1918) ก็ทำให้ผู้บริหารของ Naples football & Cricket club กับ Internazionale Napoli ตัดสินใจรวมตัวกันเป็นสโมสรเดียว ใช้ชื่อเป็นลูกครึ่งอย่างที่สุดว่า Internaples
Internaples ไม่เพียงเอาชื่อสโมสรทั้งสองมาผสมกันเท่านั้น แต่ยังเลือกเอาสีฟ้าบนเสื้อของทีม Naples football & Cricket club กับสีขาวของกางเกงทีม Internazionale Napoli มาเป็นชุดแข่งประจำทีม มันคือที่มาของชุดแข่ง เสื้อฟ้า-กางเกงขาว ของพวกเขาที่คุ้นตาเรามาจนวันนี้
เมื่อถึงปี 1926 ชื่อสโมสรก็ต้องเปลี่ยนอีกครั้ง นโยบายชาตินิยมของรัฐบาลฟาสซิสต์ภายใต้ท่านผู้นำ เบนิโต้ มุสโสลินี ต้องการให้ชื่อสถานที่และองค์กรต่างๆ ในประเทศมีการตั้งชื่อเป็นภาษาอิตาเลียนทำให้ Internaples ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Associazione Calcio Napoli หรือ AC Napoli
การแข่งขันฟุตบอลในเมืองรองเท้าบู้ตเวลานั้นยกระดับจาก คัมปิโอนาโต้ อิตาเลียโน่ ดิ ฟุตบอล ที่เป็นจุดเริ่มต้นของฟุตบอลลีกเมื่อปี 1898 มาสู่ พรีม่า คาเตกอเรีย ปี 1904 - พรีม่า ดิวิซิโอเน่ ปี 1921 - ดิวิซิโอเน่ นาซิโอนาเล่ ปี 1926 และเข้าสู่ กัลโช่ เซเรีย อา ปี 1929 แล้ว ทีมใหญ่จากเมืองเหนือผูกขาดความสำเร็จอย่างต่อเนื่องตั้งแต่แรก ทั้งเจนัวแห่งแคว้นลิกูเรีย มิลานกับอินเตอร์แห่งแคว้นลอมบาร์ดี และ โปร แวร์เชลลี่ กับ ยูเวนตุส แห่งแคว้นเปียดมอนต์
นาโปลีจากแคว้นคัมปาเนียเข้าร่วมการแข่งขันในลีกด้วยเช่นกัน ก้าวแรกคือดิวิซิโอเน่ นาซิโอนาเล่ ฤดูกาล 1926/27 และก็ได้รู้ว่าระดับของตัวเองยังห่างชั้นจากทีมในภูมิภาคอื่นอยู่มาก ทีมอัซซูร่าจบซีซั่นแรกด้วยการแพ้ถึง 17 จาก 18 เกมที่ลงสนาม ถูกยูเวนตุสถลุง 0-8 เจออินเตอร์ขยี้ 2-9 โดนเวโรน่า โรม่า เบรสชา อัด 5 ประตู แพ้ เจนัว กับ โปร แวร์เชลลี่ 1-4 เก็บได้แค่แต้มเดียวและเอาชนะใครไม่ได้เลย
โชคยังดีที่รัฐบาลฟาสซิสต์ต้องการให้การแข่งขันฟุตบอลลีกของชาติมีตัวแทนจากหลากหลายภูมิภาคจึงมีคำสั่งให้นาโปลีได้เล่นในลีกสูงสุดต่อไปไม่ต้องตกชั้น (โรม่าทางตอนกลางของประเทศก็ได้รับอานิสงส์จากคำสั่งนี้เช่นกัน)
แล้วจากนั้น นาโปลี ก็ค่อยๆ ปรับแต่งตัวเองจนดีขึ้นเรื่อยๆ และเคยขึ้นไปสูงถึงอันดับ 3 ในฤดูกาล 1933/34 ก่อนจะเริ่มตกต่ำลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (1939-1945) ถึงขั้นตกชั้นก่อนจะกลับขึ้นมาอีกหนในยุคทศวรรษ 1950
ปี 1959 สโมสรขยับตัวครั้งสำคัญเมื่อย้ายไปเตะเกมเหย้าของตัวเองที่ สตาดิโอ ซาน เปาโล ที่เพิ่งสร้างเสร็จแทนที่สนาม สตาดิโอ มิลิตาเร่ เดลลาเรนัชชา (Stadio Militare dell'Arenaccia) (ก่อนหน้า สตาดิโอ มิลิตาเร่ เดลลาเรนัชชา นาโปลีใช้สนาม แตร์เม่ ดิ อญาโน่ (Terme di Agnano)) และใช้ ซาน เปาโล ยาวนานมานับแต่นั้นจนกระทั่งถึงปัจจุบันที่เปลี่ยนชื่อเป็น สตาดิโอ ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า
ช่วงต้นทศวรรษ 1960 นาโปลีตกชั้น-เลื่อนชั้นอีก 2 ครั้ง แต่ความสำเร็จแรกของสโมสรเกิดขึ้นในขณะที่ยังเล่นในเซเรีย บี เมื่อเอาชนะ สปาล คว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ฤดูกาล 1961/62 และกลายเป็นทีมระดับเซเรีย บี ทีมแรกที่ได้แชมป์รายการนี้
ปี 1964 นาโปลีเปลี่ยนชื่อสโมสรอีกครั้งจาก Associazione Calcio Napoli หรือ AC Napoli ไปเป็น Societá Sportiva Calcio Napoli หรือ SSC Napoli และใช้มาจนถึงทุกวันนี้
หลังเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาสู่ลีกสูงอีกครั้งเมื่อปี 1965 นาโปลีก็ลากยาวอยู่ในเซเรีย อา ด้วยผลงานที่แข็งแกร่งจบฤดูกาลด้วยอันดับเลขตัวเดียวอย่างต่อเนื่องทั้งยังเคยขึ้นไปถึงตำแหน่งรองแชมป์ลีกในฤดูกาล 1967/68 กับ 1974/75
โคปปา อิตาเลียตามมาอีกสมัยในปี 1976 ขณะที่อันดับในลีกเริ่มเป็นสมาชิกถาวรในกลุ่มท็อป 6 ของประเทศเมื่อก้าวเข้าสู่ทศวรรษ 1980 แต่ในฤดูกาล 1982/83 และ 1983/84 ทีมต้องดิ้นรนหนีตกชั้นโดยเฉพาะซีซั่น 1983/84 ที่จบด้วยอันดับ 12 อยู่รอดด้วยคะแนนที่มากกว่าโซนตกชั้นเพียงแต้มเดียว
มันเป็นที่มาของความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อ ดีเอโก้ มาราโดน่า ย่างเท้าเข้ามาสู่เนเปิลส์เมื่อปี 1984 ในยุคท่านประธาน คอร์ราโด้ แฟร์ไลโน่
อ็อตตาวิโอ เบียงคี่ กุนซือหนุ่มวัยต้นสี่สิบที่ย้ายจากโคโม่เข้ามากุมบังเหียนในถิ่น ซาน เปาโล หลังมาราโดน่าหนึ่งปีสร้างทีมด้วยการใช้ยอดนักเตะอาร์เจนไตน์เป็นศูนย์กลาง ดึง ชิโร่ แฟร์ราร่า กองหลังดาวรุ่งขึ้นมาจากทีมเยาวชน ซื้อ ซัลวาตอเร่ บายี่ กองกลางจากอินเตอร์ มิลาน ตามด้วย แฟร์นานโด เด นาโปลี กองกลางจากอเวลลิโน่ ทีมร่วมแคว้นคัมปาเนีย
บรูโน่ จอร์ดาโน่ กองหน้าจากลาซิโอ และ อันเดรีย คาร์เนวาเล่ กองหน้าจากอูดิเนเซ่ ทยอยกันเข้ามาเป็นจิ๊กซอว์สำคัญพาทีมสู่จุดสูงสุดกระชากแชมป์เซเรีย อาฤดูกาล 1986/87 มาครองได้สำเร็จ
ขุนพลอัซซูร่าของเบียงคี่ฤดูกาล 1986/87 ได้พลังเต็มเปี่ยมจากมาราโดน่าที่เพิ่งคว้าแชมป์โลกกับทีมชาติอาร์เจนติน่ามาสดๆ ร้อนๆ ออกตัวอย่างเร้าใจด้วยการแพ้แค่เกมเดียวเท่านั้นใน 22 นัดแรกก่อนพุ่งเข้าป้ายอย่างสะใจด้วยการทิ้งยูเวนตุสรองแชมป์ 3 คะแนนแม้จะแผ่วปลายเสมอใน 3 เกมสุดท้าย
นาโปลีคว้าสคูเด็ตโต้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร มาราโดน่าเป็นดาวซัลโวของทีม ยิง 10 ประตูในลีก 17 ประตูทุกรายการ และยังพาทีมไล่ถล่ม อตาลันต้า ในนัดชิงโคปปา อิตาเลีย ด้วยประตูรวม 4-0 คว้าดับเบิลแชมป์ไปครองเป็นทีมที่ 3 ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอิตาลีอีกต่างหาก
โคปปา อิตาเลีย ฤดูกาลนั้นทีมปาร์เตโนเปทำสถิติเพอร์เฟกต์เท็นคือชนะรวดทั้ง 13 เกมที่ลงเตะไล่ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม 5 เกม รอบ 16 ทีมสุดท้าย 2 เกม รอบ 8 ทีมสุดท้าย 2 เกม รอบรองชนะเลิศ 2 เกม และรอบชิงชนะเลิศอีก 2 เกม ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะเกิดขึ้น
------------------
นักเตะตัวหลักของนาโปลีชุดแชมป์เซเรีย อา กับ โคปปา อิตาเลีย ฤดูกาล 1986/87
ผู้รักษาประตู - เคลาดิโอ กาเรลล่า
กองหลัง - อเลสซานโดร เรนิก้า, โมเรโน่ แฟร์ราริโอ, ชิโร่ แฟร์ราร่า, จูเซ็ปเป้ บรุสโคล็อตติ (จูเซ็ปเป้ โวลเปชิน่า, ลูชาโน่ โซล่า)
กองกลาง - ซัลวาตอเร่ บายี่, แฟร์นานโด เด นาโปลี, ฟรานเชสโก้ โรมาโน่ (ลุยจิ คัฟฟาเรลลี่, ชิโร่ มูโร่)
หน้าต่ำ - ดีเอโก้ มาราโดน่า
กองหน้า - อันเดรีย คาร์เนวาเล่, บรูโน่ จอร์ดาโน่
------------------
หลังคว้าสคูเด็ตโต้ครั้งประวัติศาสตร์ นาโปลีเดินหน้าต่อทันทีด้วย กาเรก้า กองหน้าจากเซา เปาโล ในปี 1987 และ อเลเมา มิดฟิลด์จาก แอตเลติโก มาดริด ในปี 1988
ผลลัพธ์ของการดึงดาวเตะทีมชาติบราซิลทั้งสองคนเข้ามาผนึกกำลังกับมาราโดน่า พ่วงด้วยสองกองกลางอย่าง มัสซิโม่ คริปป้า จากโตริโน่ และ ลูก้า ฟูซี่ จากซามพ์โดเรียในปีเดียวกับอเลเมาคือแชมป์ยูฟ่า คัพ ฤดูกาล 1988/89 ที่ลีลาเดาะบอลพลิ้วไปกับเพลง Life is life ของ "เสือเตี้ย" ในรอบตัดเชือกกับบาเยิร์นที่มิวนิคขึ้นหิ้งคลาสสิกตลอดกาล
ปลายทศวรรษ 1980 คือสีสันแห่งนาโปลีอย่างแท้จริง หลังโค่นสตุ๊ตการ์ทในนัดชิงยูฟ่า คัพ ปี 1989 มาร์โก บารอนี่ กองหลังจากเลชเช่ มัสซิโม่ เมาโร กองกลางจากยูเวนตุส และกองหน้าโนเนมจากเกาะซาร์ดิเนียที่ชื่อ จานฟรังโก้ โซล่า ก็ตามเข้ามาสู่ซาน เปาโล ขณะที่กุนซือเปลี่ยนจากเบียงคี่เป็น อัลแบร์โต้ บิกอน โค้ชหนุ่มวัย 42 ปีจากเชเซน่า
แล้วมาราโดน่ากับผองเพื่อนก็แผลงฤทธิ์อีกครั้งด้วยการพานาโปลีเบียดบี้กับ เอซี มิลาน ของ อาร์ริโก้ ซ้าคคี่ อย่างถึงพริกถึงขิงก่อนเร่งเครื่องชนะ 5 นัดสุดท้ายเข้าเส้นชัยเป็นแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา สมัยที่สองด้วยแต้มที่เฉือนทีมรอสโซเนรี่แค่ 2 คะแนน
มาราโดน่ากดไปอีก 16 ประตูในลีก และ 18 ประตูทุกรายการ เป็นดาวซัลโวของทีมเหมือนเดิม
------------------
นักเตะตัวหลักของนาโปลีชุดแชมป์เซเรีย อา ฤดูกาล 1989/90
ผู้รักษาประตู - จูเลียโน่ จูเลียนี่
กองหลัง - ชิโร่ แฟร์ราร่า, มาร์โก บารอนี่, จานคาร์โล คอร์ราดินี่, โจวานนี่ ฟรานคินี่ (อเลสซานโดร เรนิก้า)
กองกลาง - มัสซิโม่ คริปป้า, อเลเมา, แฟร์นานโด เด นาโปลี, ลูก้า ฟูซี่ (มัสซิโม่ เมาโร)
หน้าต่ำ - ดีเอโก้ มาราโดน่า
กองหน้า - อันเดรีย คาร์เนวาเล่, กาเรก้า (จานฟรังโก้ โซล่า)
นาโปลีคว้าแชมป์เซเรีย อา 2 สมัย แชมป์ยูฟ่า คัพ 1 สมัย และแชมป์โคปปา อิตาเลีย 1 สมัย ในเวลาเพียง 4 ฤดูกาล..
------------------
หลังหมดยุคของมาราโดน่าที่ถูกแบนยาว 15 เดือนตั้งแต่ช่วงกลางฤดูกาล 1990/91 จากการถูกตรวจพบว่าใช้โคเคนและไม่ได้กลับมาเล่นในเซเรีย อา อีกเลยนับจากนั้น นาโปลีก็เริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 1994 ที่นักเตะอย่าง โซล่า แฟร์ราร่า กาเรก้า และ ดาเนียล ฟอนเซก้า ย้ายออกจากทีมไปพร้อมๆ กัน
จากแชมป์ 2 สมัยและทีมจากแดนใต้ที่ประกาศศักดาท้าชนกับตัวแทนจากแดนเหนืออย่างองอาจ นาโปลีค่อยๆ กลายเป็นเพียงทีมธรรมดาๆ ที่มีแต่ทรงกับทรุด ในที่สุดก็ตกชั้นสู่เซเรีย บี ในฤดูกาล 1997/98 ที่เตะทั้งฤดูกาลชนะแค่ 2 เกมเท่านั้น แม้จะเลื่อนชั้นทันทีในปีต่อมาแต่ก็เล่นในเซเรีย อาได้แค่ซีซั่นเดียวก็ต้องกลับลงไปอีกหน
ปี 2000 สโมสรประกาศยกเลิกเสื้อหมายเลข 10 เพื่อเป็นเกียรติแก่มาราโดน่า
แล้วเมื่อถึงเดือนสิงหาคม ปี 2004 นาโปลีก็ล้มละลายจากความล้มเหลวด้านการเงิน..
ออเรลิโอ เด เลาเรนติส ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ซึ่งเป็นชาวโรมแต่เชียร์นาโปลีตั้งแต่เด็กยื่นมือเข้ามาโอบอุ้มทันที เม็ดเงินจากเขาทำให้เมืองนี้ยังมีทีมฟุตบอลต่อไป แต่สโมสรต้องตั้งชื่อใหม่ว่า Napoli Soccer ไปก่อนเพราะยังไม่สามารถใช้ชื่อเดิมได้จนกว่าจะผ่านหนึ่งปีตามกฎหมาย
เริ่มต้นกันใหม่ในระดับเซเรีย ซี1 และเบอร์ 10 จำเป็นต้องถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งตามกฎของลีกที่บังคับให้ผู้เล่นในสนามต้องใส่เสื้อหมายเลข 1-11
แม้จะเล่นในระดับ เซเรีย ซี1 แต่คนดูเฉลี่ยที่ ซาน เปาโล ยังมากกว่าเกมระดับเซเรีย อาหลายเกม บางแมตช์มีผู้ชมเข้าสนามถึง 51,000 คน ทุกคนช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อให้สโมสรมีรายได้ที่มั่นคงและสามารถต่อสู้เพื่อเลื่อนชั้นกลับไปอยู่ในจุดที่เคยอยู่ให้ได้..
Napoli Soccer คว้าแชมป์เซเรีย ซี1 ฤดูกาล 2005/06 ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่เซเรีย บี พร้อมกับสบโอกาสเปลี่ยนชื่อกลับไปเป็น Societá Sportiva Calcio Napoli อีกครั้ง และเพียงฤดูกาลเดียวในเซเรีย บี นาโปลีก็ทะลุต่อเนื่องขึ้นสู่เซเรีย อาทันทีหลังจากคว้ารองแชมป์เซเรีย บี ซีซั่น 2006/07
และนั่นคือครั้งสุดท้ายจนถึงวันนี้ที่นาโปลีไม่ได้มีสถานะเป็นทีมในลีกสูงสุดของเมืองมะกะโรนี กลับขึ้นมาสู่เซเรีย อา คราวนี้ทีมอัซซูร่าไม่หันหลังไปมองความตกต่ำในอดีตอีกเลย
-ฤดูกาล 2009/10
ยุค วอลเตอร์ มาซซาร์รี่ จบอันดับ 6 (59 คะแนน) ไปเล่น ยูฟ่า ยูโรปา ลีก
-ฤดูกาล 2010/11
จบอันดับ 3 (70 คะแนน) ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
-ฤดูกาล 2011/12
โค่นยูเวนตุสคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลียสมัยที่ 4 ขณะที่ในลีกเก็บได้ 61 คะแนนจบอันดับที่ 5
-ฤดูกาล 2012/13
จบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ (78 คะแนน) ผลงานที่ดีสุดนับตั้งแต่ปี 1990 เอดินสัน คาวานี่ ยิง 29 ประตูคว้าดาวซัลโวก่อนย้ายไป ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ด้วยค่าตัว 64 ล้านยูโร
-ฤดูกาล 2013/14
เปลี่ยนนายใหญ่จาก มาซซาร์รี่ เป็น ราฟาเอล เบนิเตซ และราฟาก็พาทีมคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย สมัยที่ 5 ทันที พร้อมจบด้วยอันดับ 3 ในลีก (78 คะแนน)
-ฤดูกาล 2014/2015
ได้อันดับ 5 (63 คะแนน) ราฟาย้ายไปคุม เรอัล มาดริด เด เลาเรนติส ดึง เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือเอ็มโปลีที่เป็นชาวเนเปิลส์โดยกำเนิดกลับบ้าน
-ฤดูกาล 2015/16
ซาร์รี่พาทีมคว้าแชมป์ครึ่งฤดูกาลแรก แต่ถูกยูเวนตุสแซงเข้าป้ายได้แค่รองแชมป์ (82 คะแนน)
-ฤดูกาล 2016/17
ได้อันดับ 3 (86 คะแนน) แต่เป็นฤดูกาลที่ซาร์รี่ค้นพบครั้งใหญ่ อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค เจ็บยาว ขยับ ดรีส เมอร์เทนส์ จากปีกไปยืนเป็นกองหน้าแบบ False Nine ผลลัพธ์คือ 34 ประตูในทุกรายการของดาวเตะชาวเบลเยียม
-ฤดูกาล 2017/18
ได้แชมป์ครึ่งฤดูกาลแรกอีกครั้ง แต่ก็ยังถูกยูเวนตุสแซงคว้าแชมป์ไปครองอีกครั้งเช่นกัน จบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ที่มีคะแนนสูงถึง 91 แต้ม และ มาเร็ค ฮัมซิค ทำลายสถิติทำประตูสุงสุดของมาราโดน่า 114 ประตูเมื่อเดือน ธ.ค. 2017
-ฤดูกาล 2018/19
ซาร์รี่ย้ายไปคุมยูเวนตุส คาร์โล อันเชล็อตติ เข้ามาคุมแทน จบรองแชมป์อีกหน (79 คะแนน)
-ฤดูกาล 2019/20
ผลงานย่ำแย่ทำให้อันเชล็อตติถูกปลดในเดือน ธ.ค. 2019 เจนนาโร่ กัตตูโซ่ เข้ามาทำทีมแทนและพาทีมจบอันดับที่ 7 (62 คะแนน) แต่คว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย สมัยที่ 6 ขณะที่ ดรีส เมอร์เทนส์ ทำลายสถิติทำประตูสูงสุดของฮัมซิค 121 ลูก
-ฤดูกาล 2020/21
ได้อันดับ 5 (77 คะแนน) มาราโดน่าเสียชีวิต 25 พ.ย. 2020 สนาม ซาน เปาโล เปลี่ยนชื่อเป็น สตาดิโอ ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า เดือน ธ.ค. 2020
-ฤดูกาล 2021/22
ตั้ง ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ คุมทีม จบอันดับ 3 (79 คะแนน)
-ฤดูกาล 2022/23
แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ในรอบ 33 ปี (90 คะแนน)
------------------
นักเตะตัวหลักของนาโปลีชุดแชมป์เซเรีย อา ฤดูกาล 2022/23
ผู้รักษาประตู - อเล็กซ์ เมเร็ต (ปิแอร์ลุยจิ กอลลินี่)
กองหลัง - โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่, อาเมียร์ ราห์มานี่, คิม มิน-แจ, มาริโอ รุย (ฮวน เฮซุส, มาตีอัส โอลิเวร่า, เลโอ ออสติการ์ด, บาร์ตอสซ์ เบเรซินสกี้)
กองกลาง - อองเดร-ฟร็องซ์ อองกีซ่า, สตานิสลาฟ โลบ็อตก้า, ปิโอเตอร์ ซีลินสกี้ (เอลีฟ เอลมาส, ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่, จานลูก้า เกตาโน่, ดีเอโก้ เดมเม่)
กองหน้า - เออร์วิง โลซาโน่, วิคเตอร์ โอซิเมน, ควิชา ควารัตสเคเลีย (มัตเตโอ โปลิตาโน่, โจวานนี่ ซิเมโอเน่, จาโคโม่ ราสปาดอรี่, อเลสซิโอ แซร์บิน)
------------------
จากวันนั้น.. สู่วันนี้
จากโค้ชชั้นนำมากมาย เคลาดิโอ รานิเอรี่, มาร์เซลโล่ ลิปปี้, วูจาดิน บอสคอฟ, คาร์โล มัซโซเน่, ซเดเน็ก เซแมน, ลุยจิ ซิโมนี่, จาน ปิเอโร่ เวนตูร่า, โรแบร์โต้ โดนาโดนี่, วอลเตอร์ มาซซาร์รี่, ราฟาเอล เบนิเตซ, เมาริซิโอ ซาร์รี่, คาร์โล อันเชล็อตติ ฯลฯ
จากนักฟุตบอลดีๆ คนแล้วคนเล่า ดาเนียล ฟอนเซก้า, โลร็องต์ บล็องก์, ฟาบิโอ คันนาวาโร่, เปาโล ดิ คานิโอ, ฟาบิโอ เป็คเคีย, เฟร็ดดี้ รินคอน, โรแบร์โต้ อยาล่า, นิโกล่า คัชช่า, อีกอร์ พร็อตติ, เคลาดิโอ เบลลุชชี่, มาตูซาเล็ม
โรแบร์โต้ สเตลโลเน่, เอเซเกล ลาเวซซี่, มาเร็ค ฮัมซิค, คริสเตียน มาจโจ, ฟาบิโอ กวายาเรลล่า, ลอเรนโซ่ อินซินเย่, ดรีส เมอร์เทนส์, กอนซาโล่ อิกวาอิน, เอดินสัน คาวานี่, โฆเซ่ กาเยฆอน, คาลิดู กูลิบาลี่, จอร์จินโญ่, ฟาเบียน รูอิซ
จากแชมป์รายการอื่นๆ โคปปา อิตาเลีย 2012, 2014, 2020 ซูเปอร์ โคปปา อิตาเลียน่า 2014
33 ปีที่ผ่านมา มีอะไรเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน แต่ในที่สุด มันก็จบลง
การรอคอยจบลง ความไม่มั่นใจทั้งหลายว่าวันเวลาแห่งความสุขนั้นผ่านแล้วผ่านเลยไปไหม ในเวลานี้ทุกคนได้คำตอบนั้นแล้ว
มันเป็นคำตอบที่สวยงามที่สุด แม้กระทั่ง ดีเอโก้ มาราโดน่า ผู้หอบเอาความฝันยิ่งใหญ่และเกียรติยศองอาจมาวางเคียงความสวยงามแห่งเมืองนาโปลีก็คงกำลังฉีกยิ้มกว้าง อ้าแขนรอรับความปรีดาของชาวอัซซูร่าทุกคน
นาโปลี.. เมืองนี้สมควรได้รับมัน..
ตังกุย