ในที่สุดศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2022-23 ก็มาถึงช่วงโปรแกรมบ็อกซิ่งเดย์กันแล้ว ซึ่งสำหรับแฟนบอลหลายคนแล้วนั้นนี่ถือเป็นช่วงที่พวกเขาจะได้สนุกสนานกับทีมรักของตัวเอง หลังจากเพิ่งผ่านเทศกาลแห่งความสุขอย่างคริสต์มาสไปหมาดๆ
อย่างที่รู้กันดีว่าการเตะในวันบ็อกซิ่งเดย์เป็นประเพณีของลีกอังกฤษที่มีมาอย่างยาวนานแล้ว โดยปี 1963 ถือเป็นปีที่มีการยิงประตูกันมากที่สุดถึง 66 ลูก และมีเกมที่สกอร์สูสีกันหลายเกม อย่างเช่น เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน กับ สเปอร์ส ที่เสมอกัน 4-4, ฟอเรสต์ กับ เชฟฯ ยูไนเต็ด ที่เจ๊ากัน 3-3 และ วูล์ฟส์ กับ วิลล่า ที่เสมอกัน 3-3 เป็นต้น
ถึงกระนั้น ในยุคที่ลีกสูงสุดของอังกฤษเปลี่ยนมาใช้ชื่อเป็น พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมานั้น มันก็มีเกมบ็อกซิ่งเดย์ที่ยิงกันเยอะ, ถือว่าสูสีและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้เหมือนกัน โดยวันนี้เราจะมายกตัวอย่างเกมที่เข้าข่ายนั้นสัก 3 เกม
- โบลตัน vs นิวคาสเซิ่ล : 2002
แซม อัลลาร์ไดซ์ มีภาพติดตาว่าเป็นกุนซือหัวโบราณที่ไม่เน้นเกมรุกมากเท่าไหร่ แต่วันบ็อกซิ่งเดย์ของปี 2002 เขาพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเองก็สร้างสิ่งที่มหัศจรรย์ได้เหมือนกันเมื่อนำทีมเปิดเกมรุกเล่นงาน นิวคาสเซิ่ล ที่ รีบ็อค สเตเดี้ยม ได้อย่างน่าประทับใจ
โบลตัน ขึ้นนำอย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 5 จาก เจย์-เจย์ โอโคชา แม้ว่าทีมเยือนจะตีเสมอได้จาก อลัน เชียเรอร์ ในนาทีที่ 8 แต่เจ้าถิ่นก็ได้ลูกที่ 2 อย่างรวดเร็วในอีกเพียง 1 นาทีต่อมาจาก ริคาร์โด้ การ์ดเนอร์ ก่อนที่ โบลตัน จะหนีห่างเป็น 3-1 ก่อนหมดครึ่งแรกจาก ไมเคิ่ล ริคเก็ตต์ส
สถานการณ์มันเป็นใจกับ โบลตัน มากขึ้นอีกหลังพวกเขาได้ลูกที่ 4 จาก ริคเก็ตต์ส ในนาทีที่ 63 แต่ทาง นิวคาสเซิ่ล ก็ทำให้เกมมันสนุกขึ้นหลังได้ประตูที่สองจาก โชล่า อเมโอบี้ ในนาทีที่ 72 ก่อนที่ เชียเรอร์ จะทำให้สกอร์ขยับมาเป็น 3-4 ในนาทีที่ 78 ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากนั้น "สาลิกาดง" ก็พยายามเปิดเกมรุกใส่อย่างเต็มที่ แต่มันก็สายไปแล้วจนทำให้ โบลตัน ได้ 3 แต้มที่ล้ำค่าพร้อมกับพาพวกเขาหลุดจาก 3 อันดับสุดท้ายของตารางคะแนนในตอนนั้นได้
- แมนฯ ยูไนเต็ด vs นิวคาสเซิ่ล : 2012
ก่อนลงเล่นนัดดังกล่าวหลายคนฟันธงว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะสามารถเก็บชัยชนะได้แบบไม่ยากเย็นภายหลังพวกเขาไม่แพ้ใครในลีกมา 6 เกมติดต่อกัน ตรงกันข้ามกับอาคันตุกะที่แพ้ถึง 6 นัดจากการลงเล่นเกมลีก 8 นัดหลังสุด
อย่างไรก็ตาม นิวคาสเซิ่ล ทำผลงานได้ดีกว่าที่คิดจนขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 4 จาก เจมส์ เพิร์ช แม้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะตามตีเสมอได้จาก จอนนี่ อีแวนส์ ในนาทีที่ 25 แต่อีก 3 นาทีหลังจากนั้น อีแวนส์ ก็ทำเข้าประตูตัวเองจนส่งให้ นิวคาสเซิ่ล ขึ้นนำอีกครั้ง
ในนาทีที่ 58 ปาทริซ เอวร่า ทำให้สกอร์กลายเป็น 2-2 แต่ ปาปิสส์ เดมบา ซิสเซ่ ก็ทำให้ นิวคาสเซิ่ล ขึ้นนำเป็นครั้งที่ 3 ในนาทีที่ 68 ถึงกระนั้นเจ้าถิ่นก็ตายยาก ตามตีเสมอได้จาก โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ในนาทีที่ 71
เกมทำท่าว่าจะจบลงด้วยการเสมอกัน 3-3 อยู่แล้ว แต่ในช่วงนาทีที่ 4 ของการทดเวลาบาดเจ็บ ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ "ชิชาริโต้" สวมบทซูเปอร์ซับด้วยการทำประตูชัยให้กับทีมจากการผ่านบอลของ ไมเคิ่ล คาร์ริค ได้ ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด แซงชนะไปในที่สุด
- เชลซี vs แอสตัน วิลล่า : 2007
ช่วงต้นฤดูกาล 2007-08 เชลซี มีผลงานที่ย่ำแย่จนถึงขั้นทำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องตกงานในวันที่ 20 กันยายน โดยที่ อัฟราม แกรนท์ ถูกดึงเข้ามากอบกู้สถานการณ์ของทีม ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้ดีจนถึงขั้นเคยทำให้ เชลซี แพ้เพียงนัดเดียวจากการลงเล่นในลีก 11 นัด ในช่วงก่อนถึงโปรแกรมบ็อกซิ่งเดย์ ขณะที่ วิลล่า ไม่ชนะใครในลีก 4 เกมรวดก่อนที่จะต้องยกพลไปเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์
ถึงกระนั้น วิลล่า กลับเป็นฝ่ายขึ้นนำก่อน 2-0 จากการเหมาของ ฌอน มาโลนี่ย์ ในนาทีที่ 13 กับ 43 ก่อนที่ อังเดร เชฟเชนโก้ จะตีไข่แตกให้กับเจ้าถิ่นได้จากลูกจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 4 ของครึ่งแรก โดยจังหวะที่ เชลซี ได้ลูกจุดโทษนั้น แซต ไนท์ แข้งของทีมเยือนก็โดนใบแดงไล่ออกจากสนามด้วย
พอเริ่มครึ่งหลังมาแค่ 4 นาที เชฟเชนโก้ ก็ตามตีเสมอให้กับ เชลซี ได้ ก่อนที่เจ้าถิ่นจะขึ้นนำเป็นครั้งแรกจาก อเล็กซ์ ในนาทีที่ 65 แต่ทีมเยือนที่เหลือผู้เล่นน้อยกว่าก็ตีเสมอได้จาก มาร์ติน เลาร์เซ่น ในนาทีที่ 71
พอถึงนาทีที่ 78 เชลซี ก็เหลือผู้เล่นแค่ 10 คนบ้างจากการที่ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม แต่ถึงอย่างนั้น เชลซี ก็มาได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 87 จาก มิชาเอล บัลลัค ซึ่งในตอนนั้นหลายคนเชื่อว่าทีมดังของกรุงลอนดอนน่าจะเก็บชัยชนะได้
สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือมันจะมาเกิดดราม่าในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเมื่อ แอชลี่ย์ โคล ไปทำแฮนด์บอลจากการใช้มือบล็อกลูกโหม่งของ กาเบรียล อั๊กบอนลาฮอร์ ในกรอบเขตโทษ ส่งผลให้ วิลล่า ได้ลูกจุดโทษ ส่วน โคล ก็โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม และ แกเร็ธ แบร์รี่ ก็ยิงลูกจุดโทษที่ว่าเข้าไปจนทำให้สกอร์จบลงที่การเสมอกัน 4-4
อ้อ นอกจากการยิงกันถึง 8 ลูก และมีใบแดงเกิดขึ้นถึง 3 ใบแล้วนั้น เกมนี้ยังมีการแจกใบเหลืองไปอีก 5 ใบเช่นกัน โดยเป็นของ เชลซี 3 คน ประกอบด้วย ไมเคิ่ล เอสเซียง, อเล็กซ์ และ บัลลัค กับของ วิลล่า 2 ใบ ได้แก่ ไนเจล รีโอ-โคเกอร์ กับ มาลอน แฮร์วู้ด
- เด็กเกร็ดบอล -