การเงินของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่อาจซ่อนความจริงที่ว่า เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ เจ้าของร่วมสโมสร "ผีแดง" กำลังเดินตามรอยการบริหารของตระกูลเกลเซอร์ !!
จากรายงานการเงินล่าสุดของ แมนฯ ยูฯ แสดงให้เห็นว่าจากเดิมที่ขาดทุนค่อยๆ กลับกลายมามีกำไร แต่การไม่ได้เล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปส่งผลกระทบอย่างหนัก และ เซอร์ จิม ก็กำลังสร้างหนี้เพิ่มขึ้นเหมือนกับที่ครอบครัวเกลเซอร์เคยทำ
สอดคล้องกับคำกล่าวของ โอมาร์ เบร์ราด้า ซีอีโอแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ระบุว่าฝ่ายบริหารของสโมสรกำลังสร้างความคืบหน้าอย่างแข็งแกร่งในการปรับโฉมสโมสร โดยเขาอ้างอิงข้อมูลดังกล่าวจากรายงานการเงินไตรมาสแรก ซึ่งพยายามแสดงให้เห็นถึงผลประกอบการทางการเงินที่แข็งแกร่ง
กระนั้นสำหรับคนทั่วไป ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้ดู "แข็งแกร่ง" อะไรมากนัก และบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินในโซเชียลมีเดียก็ไม่ได้ประทับใจกับตัวเลขดังกล่าวเช่นกัน เช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กด้วย
ผลกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 13.3 ล้านปอนด์ (ราว 585.2 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับการขาดทุน 6.9 ล้านปอนด์ (ราว 303.6 ล้านบาท) ในไตรมาสแรกของปีการเงินก่อน แต่หลักๆ แล้วตัวเลขนี้เกิดจากการขายนักเต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่พวกเขาสามารถทำให้ เชลซี ยอมจ่าย 40 ล้านปอนด์ (ราว 1,760 ล้านบาท) เพื่อคว้า อเลฮานโดร การ์นาโช่ ไปร่วมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้
จะว่าไปแล้ว "สิงห์บลูส์" เปรียบเสมือนสโมสรที่ช่วยหลายทีมในเรื่องการปิดงบให้สมดุล ถ้าไม่เชื่อลองไปถาม ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ดูก็ได้ !!
จริงๆ แล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ควรเป็นสโมสรที่ต้องพึ่งพาการขายนักเตะเป็นหลัก ตัวเลขทางการเงินอาจจะดูแข็งแกร่งก็จริง แต่ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าการไม่ได้เล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของปีนี้อย่างแน่นอน
รายได้รวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ 140.3 ล้านปอนด์ (ราว 6,173 ล้านบาท) ซึ่งลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของสโมสร โดยยังคาดการณ์รายได้ทั้งปีอยู่ราว 650 ล้านปอนด์ (ราว 606 ล้านบาท) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ถือว่าใหญ่โตอยู่
กระนั้นสิ่งที่ทำให้แฟนบอล "ปีศาจแดง" รับไม่ได้คือหนี้สุทธิของสโมสรที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ประมาณ 749.2 ล้านปอนด์ (ราว 32,964.8 ล้านบาท) !!! และสิ่งที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่านั้นคือ หนี้ก้อนเดิมจำนวน 481 ล้านปอนด์ (ราว 21,164 ล้านบาท) จากการเทกโอเวอร์แบบกู้ยืมของตระกูลเกลเซอร์ยังคงอยู่ ไม่ได้ถูกลดลงเลยแม้แต่น้อย
สโมสรที่ทรงพลังทั้งด้านการเงินและฟุตบอลอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด สามารถแบกรับหนี้ก้อนนี้ได้ก็จริง แต่ความจริงที่ว่าตระกูลเกลเซอร์ถอนเงินปันผลและขายหุ้นไปหลายสิบล้านปอนด์ตลอดเวลา ถือเป็นการดูถูกแฟนบอลอย่างแท้จริง
ตามข้อมูลของ เคียร์แรน แม็กไกวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินวงการฟุตบอลชื่อดัง ระบุว่านับตั้งแต่ครอบครัวเกลเซอร์เข้ามาเทกโอเวอร์ในปี 2005 สโมสรมีผลขาดทุนก่อนหักภาษีสะสมรวม 531 ล้านปอนด์ (ราว 23,364 ล้านบาท) และต้นทุนดอกเบี้ยสุทธิสะสมก็เกินกว่า 1 พันล้านปอนด์ (ราว 44,000 ล้านบาท) แล้ว
สำหรับพวกตระกูลเกลเซอร์ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องเหล่านี้หรอก บางทีพวกเขาอาจจะกลับมาจ่ายเงินปันผลให้ตัวเองอีกครั้ง หลังได้เห็นรายงานตัวเลขกำไรวางอยู่บนโต๊ะ !!
ตัวเลขกำไรเหล่านั้นในช่วงไตรมาสแรกมาจากนโยบายของเซอร์จิม ที่ปลดพนักงานออฟฟิศที่ทำงานกับสโมสรมายาวนานออกไป รวมทั้งการตัดสวัสดิการอย่างอาหารกลางวันฟรี เป็นต้น
ถึงแม้จะมีหนี้สินจำนวนมากและความรู้สึกแย่ที่เกิดจากมาตรการรัดเข็มขัดอันโหดเหี้ยมของเซอร์จิม แต่ตัวเลขกำไรเหล่านี้ก็ยังแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงเป็นมหาอำนาจด้านการเงินและการตลาดของวงการฟุตบอลยุโรปอยู่ดี
สิ่งสำคัญก็คือพวกเขาต้องกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่ในสนามให้ได้อีกครั้ง และต้องกลับไปยืนอยู่บนหัวตารางพรีเมียร์ลีก รวมทั้งเป็นทีมลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วย
เบร์ราด้า ระบุว่า "การลดฐานต้นทุนอย่างยั่งยืน" และ "การสร้างองค์กรที่มีโครงสร้างการทำงานที่คล่องตัว และมีประสิทธิภาพ" จะช่วยให้สโมสร "ลงทุนได้ทั้งทีมชายและทีมหญิง" โดยปัจจุบันทีมชายรั้งอันดับ 6 ในตารางลีก ส่วนทีมหญิงอยู่อันดับ 3 ในศึก วูเมนส์ ซูเปอร์ลีก ซึ่งดูแล้วช่างน่าภูมิใจเหลือเกิน
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ รูเบน อโมริม ต้องสร้างปาฎิหาริย์นำ แมนฯ ยูฯ กลับมาเป็นยอดทีมที่แข็งแกร่งอีกครั้ง แต่ถ้าหากทำไม่ได้สโมสรแห่งนี้คงต้องจมปลักทั้งเรื่องผลงานและหนี้สินต่อไป
✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄