คำให้สัมภาษณ์ของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไม่ได้สั่นสะเทือนแค่หน้าข่าว แต่สะเทือนไปถึงตัวสโมสรเข้าเต็ม ๆ
สิ่งที่ ซาลาห์ พูดหลังเกมเสมอ ลีดส์ ยูไนเต็ด 3-3 ไม่ได้เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบของนักเตะที่โดนดร็อป แต่คือเสียงของคนที่รู้สึกว่าตัวเองถูกโยนลงใต้รถบัส ถูกทำให้เป็นตัวปัญหา
และเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ลิเวอร์พูล ยังเป็นบ้านในแบบที่เขาเคยคิดอยู่หรือไม่
เรื่องที่มันร้าวมันพังตั้งแต่ในสนามไปยังนอกสนาม
เรื่องราวของโค้ชที่เพิ่งพาทีมเป็นแชมป์ และเรื่องราวของนักเตะเบอร์หนึ่งที่เหมือนกำลังตั้งคำถามตัวเองว่า "มันจะจบแบบนี้จริง ๆ หรือ?"
...
ย้อนไปไม่ถึงแปดเดือน ซาลาห์ นั่งอยู่บนแท่นบัลลังก์ในงานเปิดสัญญาฉบับใหม่กับสโมสร
ภาพนั้นถูกขนานนามในฐานะ Egyptian King of Anfield
ฟอร์มการเล่นที่โหดเหนือคำบรรยายเมื่อฤดูกาลที่แล้ว 34 ประตู 23 แอสซิสต์ พา ลิเวอร์พูล ของ อาร์เน่อ เถลิงแชมป์ พรีเมียร์ลีก และทำให้ FSG ยอมฉีกนโยบายดั้งเดิม ต่อสัญญานักเตะวัย 30+ ด้วยดีล 2 ปี มูลค่ามากกว่า 400,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ บวกโบนัสอีกเพียบ
มันคือสัญญาที่เหมือนเขียนไว้ตรงหน้าทุกคนว่า "คิงโม จะปิดฉากอาชีพที่นี่"
ตัดภาพมาวันนี้กลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง...
ซาลาห์ วัย 33 ปี ถูกดร็อปเป็นตัวสำรองสามนัดติดต่อกันใน พรีเมียร์ลีก
สำหรับคนทั่วไป นี่อาจคือช่วงฟอร์มตกของนักเตะอายุ 33 แต่สำหรับคนที่ชื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เรื่องนี้มันเกินกว่านั้น
"มันเหมือนสโมสรโยนให้ผมเป็นแพะ… ผมคิดว่าชัดเจนมากว่ามีบางคนต้องการให้ผมรับผิดชอบทั้งหมด"
คำว่า under the bus ไม่ใช่คำพูดลอย ๆ มันคือการกล่าวหาว่า ตัวเขาเองถูกใช้เป็นกันชนระหว่างฟอร์มทีมที่ตกต่ำกับแรงกดดันที่ถาโถมเข้าหาสโมสรและเฮดโค้ช
"เมื่อก่อนผมเคยบอกเสมอว่าผมกับผู้จัดการทีมมีความสัมพันธ์ที่ดี แต่จู่ ๆ ตอนนี้มันไม่มีอะไรเหลือเลย"
นักเตะกับโค้ชไม่ลงรอยกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอในฟุตบอลอาชีพ
แต่กรณีนี้ต่างออกไป เพราะนี่คือซูเปอร์สตาร์หมายเลขหนึ่งของสโมสร คนที่ยิงประตูมากที่สุดในยุคนี้ คนที่แทบไม่เคยมีข่าวฉาวหรือให้สัมภาษณ์ดราม่ากับใคร
ซาลาห์ เป็นคนที่เงียบ นิ่ง และพูดเท่าที่จำเป็น
ฉะนั้น การที่เขาออกมาไล่เรียงแบบไม่มีกั๊ก ตั้งแต่เรื่องคำสัญญาที่เขาได้รับในซัมเมอร์ เรื่องการถูกดร็อปสามเกมติด และการบอกตรง ๆ ว่าระหว่างเรามันไม่มีความสัมพันธ์อะไรแล้ว
หลังเกมที่ เอลแลนด์ โร้ด เขาเล่าว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน เขาไปคุยกับ อาร์เน่อ ที่ เคิร์กบี้ และรู้แล้วว่าโดนตัดชื่อจากทีมเป็นเกมที่สามติดต่อกัน
"เมื่อวานผมรู้แล้วว่าผมจะไม่ได้ลงเล่น ก็ยอมรับแล้วกลับบ้าน ผู้จัดการรู้ดีว่าผมรู้สึกยังไง"
มันคือความรู้สึกถูกหักหลังในระดับที่เขาถึงขั้นพูดว่า "ผมได้รับคำสัญญามากมายในช่วงซัมเมอร์ แต่ตอนนี้ผ่านไปสามเกม ผมนั่งสำรองทั้งหมด ผมคงพูดไม่ได้หรอกว่าพวกเขารักษาสัญญา"
และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ใครในสโมสรที่ไม่อยากให้เขาอยู่ต่อ เขาตอบเพียงว่า "ผมไม่รู้จริง ๆ"
คำถามที่เกิดขึ้นคือ ซาลาห์ เองที่โรยรา…หรือโครงสร้างทีมที่พังเอง?
ความขัดแย้งนี้ถูกอธิบายง่ายมาก ฟอร์มตก โดนดร็อป ไม่พอใจ และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตัวเลขหลายอย่างกำลังบอกเราว่า ซาลาห์ ในสนามวันนี้ ไม่เหมือนคนเดิม
จำนวนประตูลดลง, การเลี้ยงกินตัวสำเร็จน้อยลง, จำนวนครั้งที่ได้สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษ ต่ำที่สุดตั้งแต่เขาเล่นพรีเมียร์ลีก
อัตรายิงเข้ากรอบเหลือประมาณ 29% จากที่เคยยืนพื้นราว 41.4%
อย่างไรก็ตาม เขายังมีประตูสำคัญอยู่บ้าง อย่างลูกยิงเด็ดขาดเกมเจอ เบรนท์ฟอร์ด ตอนเดือนตุลาคม แต่จังหวะยิงหลุดแบบน่าเสียดายเกมพบ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับกลายเป็นภาพจำที่สะท้อนความไม่เฉียบคมของเขาในฤดูกาลนี้
ถ้าดูแค่ตัวเลข เราอาจสรุปง่าย ๆ ว่า "นี่คือช่วงขาลง"
แต่ฟุตบอลไม่ได้ง่ายแบบนั้น เพราะควบคู่กับการดร็อป ซาลาห์ อาร์เน่อ ก็กำลังเปลี่ยนโครงสร้างทั้งทีม
จากทีมที่เคยเปิดเกมรุกใส่คู่แข่ง กลายเป็นทีมที่ตั้งใจเล่นเกมแบบลดความเสี่ยง จังหวะสำคัญมีน้อย และหวังพึ่งคุณภาพเฉพาะตัวของใครสักคนจะช่วยยิงประตูให้จบงาน
เกมกับ เวสต์แฮม เกมกับ ซันเดอร์แลนด์ จนถึงเกมกับ ลีดส์ ลิเวอร์พูล พยายามทำให้เกมไม่มีมิติที่สุดเท่าที่จะทำได้
ที่ เอลแลนด์ โร้ด พวกเขานำ 2-0 ในนาที 71 ด้วยค่า xG แค่ 1.64 ต่อ 0.34 ของ ลีดส์
ตกลงคือ ลิเวอร์พูล คุมเกมได้หรือแค่ไม่ได้สร้างอะไรกันแน่?
คำถามคือ ฟุตบอลแบบนี้ คนที่เล่นริมเส้นฝั่งขวา จะดูเหมือนหายไปจากเกมง่ายกว่าปกติหรือเปล่า?
คนที่เริ่มช้าลงนิดหนึ่ง ต้องถอยออกมารับบอลต่ำขึ้นนิดหนึ่ง จะถูกตัดสินจากตัวเลขดิบ ๆ หนักกว่าคนอื่นไหม?
และที่สำคัญ ในทีมที่ทั้งเกมรุกยังไม่มีรูปแบบ ยังดึงดันเล่นเพรสที่ไม่เข้าที่ และยังมีปัญหาลูกตั้งเตะจนเสียไปแล้ว 10 ประตูในลีก (ยิงได้แค่ 2 ลูก เซ็ตพีซผลต่าง -8 ขณะที่ อาร์เซนอล +6)
มันยุติธรรมแล้วหรือ ที่ทุกสายตาหันไปมองว่า ซาลาห์ คือปัญหา
ซาลาห์ ไม่ใช่คนประเภทที่จะออกมาทวงความดีความชอบตัวเองบนไมค์ แต่ครั้งนี้ เขาหลุดพูดในสิ่งที่สะสมมานาน
"ผมพูดได้เลยว่าผมคือดาวยิงสูงสุดของ พรีเมียร์ลีก ตอนนี้เขา(ฮาลันด์) ยังไม่ใช่ เขาอาจจะได้ในอนาคต ซึ่งผมก็ยินดีด้วย ผมรักเขา และเขาก็รู้"
เขายกตัวอย่าง แฮร์รี่ เคน ว่าทุกคนให้เวลา "เคน ยิงไม่ได้ 10 เกมติด สื่อกลับบอกว่า เดี๋ยว แฮร์รี่ ก็ยิงได้แหละ"
แต่พอเป็น โม กลับพูดว่า เขาควรนั่งสำรอง… ขอโทษนะ แฮร์รี่!
"ผมทำอะไรให้สโมสรแห่งนี้ไว้มากมาย สิ่งที่ผมต้องการคือความเคารพ ผมไม่ควรต้องต่อสู้แย่งตำแหน่งทุกวัน เพราะผมพิสูจน์มันมานานแล้ว"
"ผมไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าใคร แต่ผมคู่ควรกับตำแหน่งของผม"
ขณะที่ ซาลาห์ นั่งมองเกมจากม้านั่งสำรอง ลิเวอร์พูล กำลังเล่นหนึ่งในเกมที่สะท้อนตัวตนใหม่ของพวกเขาในยุค อาร์เน่อ ได้ชัดเจนที่สุด
ขึ้นนำ 2-0 ดูเหมือนทุกอย่างอยู่ในมือ แต่…
อิบราฮิม่า โกนาเต้ ก็พุ่งสไลด์ใส่ วิลฟรีด ยอนโต้ แบบไม่จำเป็น กลายเป็นจุดโทษจนเสียประตูตีไข่แตก xG 0.75 ที่มาจากความผิดพลาดเดียว
สองนาทีต่อมา โดนตีเสมอ 2-2 ปล่อยให้ เอลแลนด์ โร้ด ลุกเป็นไฟ และสุดท้าย…โดนลูกเตะมุมในช่วงทดเจ็บ ทำให้สกอร์กลายเป็น 3-3
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล เสียประตูจากลูกตั้งเตะเป็นว่าเล่นจนสถิติร่วมบ๊วยลีก
ขณะที่แนวรับเปราะบาง
ขณะที่ โกนาเต้ ฟอร์มรูดจนทุกความผิดพลาดถูกลงโทษ
ขณะที่ คอนเนอร์ แบรดลี่ย์ วิ่งทุ่มเกินไปจนโดนใบเหลือง 5 ใบติดโทษแบน
ขณะที่โครงสร้างทั้งทีมดูเหมือนไม่เสถียรเลยตั้งแต่หลังบ้านจนถึงแดนหน้า
คำถามคือ การถอด ซาลาห์ ออกจาก 11 ตัวจริง คือคำตอบจริง ๆ เหรอ?
หากมองจากม้านั่งสำรอง… นักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดในยุคของตัวเองกับทีมนี้อาจจะกำลังคิดอยู่ว่า "ถ้าผมคือปัญหา แล้วทั้งหมดนี้เรียกว่าอะไร?"
อีกมุมหนึ่ง เราก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึง อาร์เน่อ โค้ชดัตช์ที่เพิ่งพาทีมเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก เมื่อซีซั่นก่อน
ที่วันนี้กำลังเผชิญเสียงวิจารณ์ว่า เกมรุกไร้รูปแบบ การจัดทัพกดความสามารถของแนวรุก ลูกตั้งเตะเละเทะจนโค้ชเซ็ตพีซอย่าง แอรอน บริกส์ ถูกจับจ้อง การบริหารความสัมพันธ์กับดาวเด่นที่สุดของทีมพังไปต่อหน้าสื่อทั้งโลก
อาร์เน่อ พยายามอธิบายว่า "นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเลย เพราะเรารู้ว่าเขาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน หน้าที่ของผมคือเลือกทีมที่เราต้องการในวันนี้”
เขาย้ำว่าทีมทำหลายอย่างได้ดี ยกเว้นผลการแข่งขัน
เขาปกป้อง โกนาเต้ ว่าฟุตบอลมันโหดร้ายกับเซ็นเตอร์แบ็กเสมอเมื่อตกเป็นคนในที่เกิดเหตุ
เขาบอกว่าเรื่องสภาพจิตใจทีมไม่มีปัญหาเป็นบรรยากาศสนามที่ปลุก ลีดส์ มากกว่า
แต่ในขณะที่เขาปกป้องทุกคน… โม ซาลาห์ กำลังออกมาปกป้องตัวเองเพียงลำพัง
ฟุตบอลระดับนี้ ความผิดพลาดบางอย่างอาจทำให้โค้ชต้องตกงาน และสำหรับ อาร์เน่อ วันนี้เขาคงเริ่มรู้แล้วว่าการจัดการดราม่า ซาลาห์ จะกลายเป็นหนึ่งในบททดสอบสำคัญที่สุดของเส้นทางของเขากับ ลิเวอร์พูล
มีคำพูดหนึ่งของเขาที่ทำให้แฟนหงส์ทั่วโลกใจหาย
"ผมจะไป แอนฟิลด์ เพื่อบอกลาแฟน ๆ แล้วเดินทางไปเล่น AFCON ผมจะสนุกกับเกมนั้น (ไบรท์ตัน) เพราะผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น"
เรายังไม่รู้ว่ามันเป็นการพูดเกินไปเพราะอารมณ์ หรือเป็นสัญญาณเตือนของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในตลาดเดือนมกราคม
ซาอุฯ ยังรอเขาอยู่เสมอ ทีมในตะวันออกกลางพร้อมยื่นข้อเสนอ แต่เขาเลือกไม่ตอบคำถามตรง ๆ เพราะรู้ว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือกดดันสโมสรได้
เขาบอกว่าไม่เสียใจที่ต่อสัญญาเมื่อเดือนเมษายน แต่ยอมรับว่าเจ็บปวดที่ต้องมาตอบคำถามว่า "สักวันหนึ่งมันคงต้องจบลง แต่สิ่งที่ผมคิดคือ…ทำไมมันต้องจบแบบนี้?"
นี่คือเสียงของคนที่เพิ่งกวาดรางวัลส่วนตัวมากมายเมื่อห้าเดือนก่อน แต่ตอนนี้ออกจากบ้านไปสนามซ้อม โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะได้ลงตัวจริงหรือเปล่า
ในโลกที่ทุกอย่างหมุนเร็ว สโมสรต้องคิดเรื่องอนาคต โค้ชต้องคิดเรื่องระบบ เบื้องบนต้องคิดเรื่องตัวเลขและเพดานค่าเหนื่อย แฟนบอลต้องคิดเรื่องฟอร์มตรงหน้ามากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
แต่มันก็คงไม่ผิด ถ้าเราจะหยุดสักครู่แล้วถามว่า สำหรับคนที่ช่วยยิงให้สโมสรมาตลอด แบกทีมมาตลอดหลายปี อยู่ในแทบทุกช่วงเวลายิ่งใหญ่ของสโมสรยุคใหม่ เขาสมควรถูกปฏิบัติแบบไหน?
คำตอบมันไม่จำเป็นต้องหมายความว่า เขาต้องเป็นตัวจริงทุกนัด ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า เขาไม่มีวันถูกโรเทชัน ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเขาเหนือกว่าทีม
แต่การให้ความเคารพกับคนที่สร้างทุกอย่างขึ้นมา คือสิ่งที่ทุกสโมสรระดับท็อปควรทำให้ดีที่สุด โดยเฉพาะสโมสรที่เคยบอกโลกด้วยความภาคภูมิใจว่า "เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”"
วันนี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ รู้สึกว่าเขาถูกทิ้งไว้ตามลำพัง
คำถามคือ ลิเวอร์พูล จะเลือกดึงเขาขึ้นมาอีกครั้ง หรือปล่อยให้หนึ่งในตำนานยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรค่อย ๆ หายไป
บางที เกมกับ ไบรท์ตัน ที่แอนฟิลด์ อาจเป็นแค่เกมลีกธรรมดาในตารางนัดหนึ่งของฤดูกาล
แต่สำหรับหลายคน มันอาจกลายเป็นวันที่ทุกคนย้อนกลับมาพูดถึงในอีกหลายปีข้างหน้า
"วันนั้น…เราอาจได้เห็น โม ซาลาห์ ในเสื้อ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ เป็นครั้งสุดท้ายโดยที่ยังไม่รู้ตัวเลยก็ได้"
#HOSSALONSO