เจอร์เก้น คล็อปป์ นำ ลิเวอร์พูล ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2018-19
ฤดูกาลนั้น พวกเขาสะสมคะแนนได้มากเป็นประวัติการณ์ถึง 97 แต้ม หลังจากกุนซือชาวเยอรมันสร้างทีมที่สมบูรณ์แบบที่สุดของตัวเองได้สำเร็จ
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น 1 ฤดูกาล พลพรรคหงส์แดงจัดเป็นทีมที่มีเกมรุกที่ดุดันและกะซวกไส้ดีนักแล
เมื่อผู้เล่นคนใหม่อย่าง โม ซาล่าห์ สับตีนมาผนึกกำลังกับ
ซาดิโอ มาเน่ และโรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ก่อนจะสถาปนาตัวเองเป็น 3 ประสานหน่วยล่าสังหารที่มีความอันตรายมากที่สุดชุดหนึ่งในพงศาวดารลูกหนัง
ปัญหาคือเกมรับที่เสียประตูง่ายไปหน่อย
เกมรุกดุดัน แต่เกมรับรั่วไหล ลิเวอร์พูล กระหน่ำได้ถึง 84 ประตู แต่เสียไปถึง 38 ประตู ในฤดูกาล 2017-18 จนทำได้แค่อันดับที่ 4 ของตารางพรีเมียร์ลีก
เวลาต่อมา นายทวารอย่าง อลิสซง เบ็คเกอร์, ปราการหลังอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง ฟาบินโญ่ ก็ถูกกระชากเข้ามา เพื่อแก้ปัญหาเกมรับพลางเติมเต็มความเป็นโคตรทีม
เจอร์เก้น คล็อปป์ ติดตั้งสไตล์การเล่นแบบ "เฮฟวี่ เมทั่ล ฟุตบอล" ให้ลูกทีมมาตั้งแต่เริ่มคุมทีม เพียงแต่ทีมที่น่าขามเกรงที่สุดของ ลิเวอร์พูล ชุดนี้ชวดแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2018-19 อย่างน่าเจ็บใจ เพียงเพราะ แมนฯ ซิตี้ ดันสะสมแต้มได้มากกว่าแบบหวุดหวิด
ด้วยความอัดอั้นตันตูด
ฤดูกาลต่อมา 2019-20 ลิเวอร์พูล ก็แปลงร่างเป็นสิบล้อเบรคแตกเมายาบ้าพลางออกตัวด้วยความเร็วแรงแบบทะลุนรก และกะซวกทุกอย่างที่ขวางหน้า ก่อนคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จสมใจปรารถนา
ในระหว่างปี 2018 ถึง 2020 ลิเวอร์พูล มีทีมที่ศักยภาพสูงที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์สโมสร
ถัดมาอีกฤดูกาล 2020-21 ด้วยสภาพที่ไม่สมประกอบของตัวผู้เล่นสำคัญที่ถูกอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปแบบเป็นหมู่คณะ จึงขอละเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ
ก่อนจะกลับมามีลุ้นถึง 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียว เมื่อซีซั่นที่แล้ว
สรุปว่าในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล จัดเป็นทีมที่น่าขามเกรงยิ่งนัก ด้วยฟอร์มการเล่นอันกระฉูดแตก สมดุลย์ทั้งในเกมรุกและเกมรับ
นับเป็นเวลาถึง 4 ฤดูกาลเต็มที่ 'เดอะ เบสต์ ออฟ เดอะ เรดส์' ชุดนี้ออกอาละวาดพลางสร้างความเดือดร้อนให้คู่แข่งอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งฤดูกาลนี้ที่ออกตัวจากจุดสตาร์ทแบบไม่ค่อยโสภาและสถาพรสักเท่าไหร่
ผ่านไป 6 นัด เพิ่งเก็บได้แค่ 9 แต้มเท่านั้น
พวกเขาเริ่มมีปัญหาในการเอาชนะคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนในรอบ 4 ฤดูกาลที่ผ่านมานับตั้งแต่มีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก
สิ่งที่เลือนลางไปคือวิธีการเล่นแบบ "เฮฟวี่ เมทั่ล ฟุตบอล" อันลือลั่นสนั่นโลก
ตัดเกมที่ถล่ม บอร์นมัธ 9-0 ออกไป ลิเวอร์พูล พบปัญหาในการเอาชนะคู่แข่งในอีก 5 เกมที่เหลือ แถมกว่าจะยัดเยียดความปราชัยให้ นิวคาสเซิ่ล ได้ต้องรอถึงนาทีที่ 98
ฟอร์มการเล่นโดยรวมไม่ถือว่าน่าอภิรมย์เอาเสียเลย
แน่นอนว่าพวกพรี่ๆ คงไม่ค่อยปลื้ม
ความหื่นกระหายในชัยชนะ ความกระเหี้ยนกระหือรือ และพลังในการชำเราคู่แข่งลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ???
อืมมมมมมม...นะ
ก่อนหาคำตอบ ขอบอกว่าในฐานะที่หมกมุ่นอยู่กับเกมฟาดแข้งมานานจนเห็นอะไรมาพอสมควร ผมอยากบอกทุกท่านว่าในโลกลูกหนัง มันจะมีทีมประเภท "ยอดทีม" ที่สมบูรณ์แบบโผล่ขึ้นมาแสยะยิ้มสยดสยองเป็นระยะ โดยโคตรทีมไร้เทียมทานเหล่านี้จะมีรอบของความยอดเยี่ยมของตัวเอง โดยค่าเฉลี่ยตกอยู่ที่ประมาณ 4 ปีนี่แหละ
หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วงจนต้องทำการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงใหม่ เพื่อยกระดับให้กลับมาอยู่ในจุดที่สมบูรณ์แบบอีกครั้ง
นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไมถึงไม่เคยมีทีมใดในอังกฤษคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้มากกว่า 3 สมัยติดต่อกัน
ดูเหมือน ลิเวอร์พูล และนาทีนี้น่าจะกำลังอยู่ในช่วงเวลาแบบนั้นครับ
ว่าแล้วลองนึกถึงทีมที่มีความเปล่งปลั่งมากที่สุดของ ลิเวอร์พูล อันประกอบด้วยผู้รักษาประตูอย่าง อลิสซง เบ็คเกอร์ เซ็นเตอร์แบ็คที่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เป็นตัวหลัก ขนาบข้างด้วยฟูลแบ็คประเภทด่วนวินาศหยุดไม่อยู่ทั้ง 2 ข้างอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
แดนกลางประกอบด้วยนักเตะประเภทมดงานผู้มีหน้าที่บดบี้คู่แข่ง เพื่อให้บริการผู้เล่นในแผนกเกมรุก
กองหน้าที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวด้วยการให้ โรแบร์โต้
ฟีร์มิโน่ รับบทหัวหอกตัวปลอม (False9) ขนาบข้างด้วย โม ซาล่าห์ กับ ซาดิโอ มาเน่ ที่มีความจัดจ้านและปราดเปรียวประหนึ่งเคี้ยวพริกขี้หนูคนละ 300 เม็ดก่อนลงสนาม
ไม่เพียงแต่จะผลิตประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ 3 ประสานหน่วยล่าสังหารของ ลิเวอร์พูล ยังมีหน้าที่สำคัญอีกประการคือบดบี้คู่แข่งอย่างรวดเร็ว เพื่อแย่งบอลมาบุกกระหน่ำตามที่พากย์ภาษาอังกฤษว่า "เคาน์เตอร์ เพรสซิ่ง"
เมื่อบีบอัดเข้าใส่พลางแย่งบอลจากคู่แข่งได้สำเร็จก็จะจู่โจมอย่างรวดเร็วและหนักหน่วงในจังหวะโลหะมรณะภาพ
กองหน้าตัวปลอมที่เด็กหงส์เรียกอย่างสนิทสนมว่า "บ๊อบบี้" อาจกระหน่ำประตูได้น้อยกว่ากองหน้าโดยทั่วไปผู้มีหน้าที่ทำลายตาข่ายโดยเฉพาะ แต่เขาคือตัวเปิดป้อนและทำทางให้กองหน้ากึ่งปีกอีก 2 คนอย่าง ซาดิโอ มาเน่ กับ โม ซาล่าห์ ทำประตูทดแทนตัวเอง
นี่คือความสมดุลย์ที่ผมกล่าวถึง
ทว่าหลังจากประสานงานกันมานานเป็นเวลา 5 ฤดูกาล ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เมื่อ ซาดิโอ มาเน่ มีอาการอิ่มตัวจนขอเลื้อยตูดดำๆ ของตัวเองออกไปจากเครื่องนุ่งห่มหงส์แดง สวนทางกับการมาของกองหน้าตัวเป้าขนานแท้คนใหม่อย่าง ดาร์วิน
นูนเญซ
3 ประสานในแดนหน้าของ ลิเวอร์พูล ยุดปัจจุบันประกอบด้วย ลุยส์ ดิอาซ ทางซ้าย โม ซาล่าห์ ทางขวา และไอ้หนุ่มผมยาวจากอุรุกวัยตรงกลาง
เท่าที่เห็นจากเกมที่ ดาร์วิน นูนเญซ เป็นตัวจริง กองหน้าค่าตัว 85 ล้านปอนด์ผู้นี้มีความแตกต่างจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ด้วยการรออยู่ในพื้นที่ทำการของตัวเอง เพื่อหาจังหวะกะซวกตาข่ายในฐานะหัวหอกตัวเป้า โดยจะไม่ถอนตัวลงมาช่วยสร้างสรรค์เกมตรงกลางเหมือนกองหน้าตัวปลอมสายพันธุ์แซมบ้าที่หลุดไปเป็นตัวสำรอง
ขุมพลังในแดนกลางอย่าง ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน,
ติอาโก้ อัลคันตาร่า และนาบี เกอิต้า โดยรวมถึง เจมส์ มิลเนอร์ ที่ต้องใช้พละกำลังมากมายในสไตล์การเล่นแบบ เฮฟวี่ เมทั่ล ฟุตบอล ก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาการบาดเจ็บและอ่อนล้าถามถึงจึงอ่อนกำลังลงไปอย่างสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ขณะที่ฟอร์มการเล่นของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ก็เริ่มตกลงไปจากเดิมจนแสดงให้เห็นความผิดพลาดมากขึ้น
เช่นเดียวกับฟูลแบ็คทั้ง 2 ข้างที่ไม่เหมือนเดิม
โทษฐานของกุนซือกะโปกเหล็กผู้มีความเจนจบบนถนนลูกหนัง เจอร์เก้น คล็อปป์ ย่อมตระหนักถึงเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว สังเกตว่าคุณพี่เขาพยายามเปลี่ยนแปลงขุมกำลังของตัวเองที่เล่นด้วยกันจนใกล้จะหมดรอบของความยอดเยี่ยม
เขาดันดาวรุ่งพุ่งกระฉูดอย่าง ฮาวี่ย์ เอลเลียตต์ และฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ เข้ามาสอดแทรกในแดนกลาง
เขาซื้อ ดิโอโก้ โชต้า มาเตรียมไว้ก่อน ตามาด้วย ลุยส์ ดิอาซ เพื่อเป็นตัวหลักทดแทนนักเตะรุ่นเก่าในอนาคต
การมาของ ดาร์วิน นูนเญซ ที่เป็นหัวหอกตัวเป้าขนานแท้ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นอันสังเกตได้ว่ากองหน้ากึ่งปีกทั้ง 2 ข้างจะทำหน้าที่เหมือนปีกผู้มีหน้าที่เปิดป้อนมากกว่ากองหน้าผู้มีหน้าที่ถล่มตาข่าย
เฉพาะอย่างยิ่ง โม ซาล่าห์ ที่ถูกขยับออกไปชิดติดริมเส้นมากขึ้น เพื่อทำหน้าที่ของปีกจนตัวเองห่างไกลจากกรอบเขตโทษเหมือนที่เคย
พูดง่ายๆ ว่า ณ ตอนนี้ ลิเวอร์พูล กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน หรืออยู่ในช่วงรอยต่อที่ต้องอาศัยเวลาในการปรับตัวเข้าหากันแทบทุกขุมกำลัง ก่อนที่มันจะเข้าที่เข้าทาง
หรืออีกนัยหนึ่งคือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็กำลังสร้างทีมใหม่เหมือนกันนั่นแหละ แถมเป็นการสร้างทีมใหม่ที่มีงบประมาณจำกัดกว่าคู่แข่งอย่าง แมนฯ ซิตี้, แมนฯ ยูไนเต็ด หรือ เชลซี หลังจากที่ทีมชุดสุดยอดของเขาเดินทางมาถึงปลายขอบของความเยี่ยมยุทธ
นอกจากนี้ รูปแบบการเล่นเดิมๆ ก็เริ่มถูกคู่แข่งจับทางได้ แล้วใช้ "พิมพ์เขียว" เดียวกันในการกำราบหงส์แดงจนผู้เป็นกุนซือก็จำเป็นต้องหาวิธีการใหม่ๆ ไม่ให้ซ้ำซาก
นี่คือคำตอบที่ ลิเวอร์พูล ออกอาการกระท่อนกระแท่นในช่วงแรกของฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม
หากพวกพรี่ๆ ยังเชื่อมั่นในความสามารถของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เดี๋ยวลูกทีมของเขาก็จะค่อยๆ ปรับจูนเข้าหากันได้เอง และความน่าขามเกรงของเครื่องจักรสีแดงก็จะกลับคืนมา
เพียงแต่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะสายเกินไปหรือเปล่า ???
บอ.บู๋