สิ่งที่ทั้ง มิเกล อาร์เตต้า และ มิเกล เมริโน่ ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมบอกอะไรบางอย่างเพิ่มเติมกับเรา
ทุก ๆ คนสำคัญเหมือนกันหมด ทุก ๆ คนคือ "ทีม"
คำว่าทีมนั้นมีความหมายลึกซึ้งและยิ่งใหญ่กว่าแค่นักเตะ 11 คนที่ลงไปในสนามมาก มันใหญ่กว่านั้นเยอะเพราะไม่เพียงแค่เรื่องทางกายภาพ วิ่ง กลิ้ง ล้ม ปะทะ บาดเจ็บ ฯลฯ หากยังเป็นเรื่องของการทดแทนซึ่งกันและกัน จับมือโอบบ่าแตะไหล่ให้กำลังใจกัน
ในวันที่คุณเล่นไม่ดี ผมเล่นแทนให้คุณได้
ในวันที่คุณเล่นไม่ได้ ผมจะลงไปรับผิดชอบแทนคุณให้ดีที่สุด
และเช่นกัน.. ในวันที่ผมเล่นไม่ออก เล่นไม่ได้ เล่นไม่ดี ผมก็ยังจะมีพวกคุณที่พร้อมถลกแขนเสื้อสู้เพื่อเราทุกคน
นี่คือความหมายของคำว่าทีม
เมริโน่จะพูดเพียงแค่ "ผมรู้เรื่องนี้ตอนเช้า (ว่าอาจต้องลงไปเล่นเป็นกองหน้า) หนึ่งในผู้ช่วยโค้ชแจ้งผมว่านี่เป็นทางเลือก มันคือครั้งแรกในชีวิตเลยที่ผมเล่นตำแหน่งนี้" อย่างที่เขาให้สัมภาษณ์กับรายการ Match Of The Day ของ BBC หลังจบเกมก็ได้
เขาจะพูดแค่นั้นก็ได้ ทุกเสียงชื่นชมพุ่งไปที่เขาอยู่แล้ว แต่เขาไม่ได้ต้องการอย่างนั้น เขาพูดต่อในประโยคที่บอกถึงความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
"วิธีการเล่นของเราต่างหากที่ทำให้มันมีโอกาสเป็นไปได้ ทุก ๆ คนรู้หน้าที่ของตัวเองว่าต้องทำอะไร มิเกลบอกให้ผมใช้จุดเด่นในเขตโทษให้เป็นประโยชน์ และผมก็ไปอยู่ในจุดที่ถูกที่ถูกเวลา"
"ในทางแท็กติกนั้นเราก็มีดีพอ ผมก็แค่พยายามทำให้เหมือนเพื่อน ๆ ที่กำลังบาดเจ็บอยู่"
- ผมพยายามทำให้เหมือนเพื่อน ๆ ที่กำลังบาดเจ็บอยู่ - เขาพูดประโยคนี้ออกมา
ผมคิดว่าเขาตั้งใจสื่อถึงบรรดากองหน้าเพื่อนร่วมทีมที่กำลังต่อสู้กับการบาดเจ็บอยู่ทั้ง ไค ฮาแวร์ตซ์, กาเบรียล เชซุส, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และ บูกาโย่ ซาก้า ว่าผมลงไปเล่นแทนพวกคุณนะ ผมจะทำให้ดีที่สุด จะพยายามนึกถึงสิ่งที่พวกคุณมีในฐานะกองหน้าและจะไม่ทำให้พวกคุณต้องผิดหวัง
แม้ตัวเขาเองก็มีดี มีทีเด็ดเรื่องการหาพื้นที่ในเขตโทษ สอดขึ้นไปทำประตูได้บ่อย ๆ อย่างที่ทำทั้ง 2 ประตูในเกมนี้ แต่เขาไม่ลืมที่จะพูดถึงเพื่อนของเขาในทางที่ดี ให้เกียรติ และให้กำลังใจ
เมื่อได้รับมอบหมายให้เป็นกองหน้าที่ตัวเองไม่เคยเล่นมาก่อน เขาพยายามนึกถึงสัญชาติญานกองหน้าของเพื่อน ๆ ที่ไม่มีโอกาสได้ช่วยทีม เรียนรู้มันและรีบทำมันให้ได้ในช่วงเวลายี่สิบนาทีที่อยู่ในสนาม
- วิธีการเล่นของเราต่างหากที่ทำให้มันมีโอกาสเป็นไปได้ - ประโยคนี้ก็เช่นกัน เพราะชัยชนะอันเหนื่อยยากครั้งนี้ไม่ได้มาจากเขาคนเดียว แต่เกิดขึ้นตั้งแต่การเตรียมความพร้อม แผนสองของโค้ช การไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค และความเชื่อมั่นใจกันและกัน ไม่ชี้นิ้วโทษกัน
มิเกล อาร์เตต้า อาจมองเห็นบางอย่างในตัวเขา บอกให้เขาไปอยู่ในเขตโทษ แต่เพราะทุกคนรู้หน้าที่ตัวเองต่างหาก ตำแหน่งที่เขาเข้าไปอยู่จึงกลายเป็นการอยู่ถูกที่ถูกเวลาได้
ทั้งการหาจังหวะโยนบอลของ อีธาน วาเนรี่ ในประตูแรก และการเล่นโต้กลับที่ทั้ง มาร์ติน โอเดการ์ด และ ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ เลือกเลี้ยงบอลกับตัวไม่รีบส่งทั้งคู่เพื่อดึงนักเตะเลสเตอร์ให้เข้ามาหาทำให้เพื่อนมีพื้นที่มากขึ้น ก่อนจะไปจบที่บอลเปิดของ เลอันโดร ทรอสซาร์ ในประตูที่สอง
มิเกล เมริโน่ อาจต้องการบอกกับเราอย่างนั้นถึงสปิริตของคำว่า "ทีม"
ขณะที่ อาร์เตต้า ก็ทำหน้าที่ของเขา ไตร่ตรองถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับทีม เตรียมทีมด้วยแผนแรก รับมือกับสิ่งที่ไม่เป็นไปตามแผนแรกด้วยแผนสอง อ่านสถานการณ์ของเกม วิเคราะห์ความเป็นไป แล้วตัดสินใจในเวลาที่เหมาะสม
เขาส่ง เมริโน่ ลงไปแทน ราฮีม สเตอร์ลิง ในนาทีที่ 69 แล้วให้กองกลางชาวสเปนค้ำอยู่ในตำแหน่งกองหน้า
ไม่ใช่การแก้เกมแบบส่งเดช หรือคิดจะทดลองอะไรก็ทำแบบไปตายเอาดาบหน้า แน่นอนว่ามันเป็นความเสี่ยง แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่มีเหตุผลรองรับ มันมาจากการรู้จักลูกทีมทุกคนดีว่าแต่ละคนมีความพิเศษอย่างไร
"มิเกล (เมริโน่) มีเซนส์รับรู้ถึงความอันตราย เป็นคนที่หาโอกาสในเขตโทษได้ดีอย่างเหลือเชื่อ เขาคุกคามเกมรับคู่แข่งได้ จมูกไว อ่านเกมรอจังหวะพุ่งเข้าไปในพื้นที่โจมตีได้ดี" อาร์เตต้าให้สัมภาษณ์หลังจบเกม
"เราต้องรอดูก่อนด้วยว่าเกมเป็นอย่างไรและต้องการอะไรเพิ่มเติมบ้าง สุดท้ายแล้วเกมนี้เราก็เชื่อว่ามันต้องเป็นเขา เพียงแต่งานยากที่สุดคือทำอย่างไรให้บอลไปถึงเขาให้ได้"
"ผมคิดว่าเกมเริ่มเหมาะกับเขามากขึ้น ๆ เพราะเลสเตอร์เริ่มถอยร่นตั้งรับต่ำ ทำให้เรามีโมเมนตัมมากขึ้น ได้บอลถี่ขึ้น ได้เซตพีซบ่อยขึ้น เราเชื่อว่าเขาน่าจะมีอิทธิพลกับเกมได้ถ้าถูกส่งลงไปในตอนนั้น"
ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยคำถาม ทำไมไม่อย่างนั้น ทำไมไม่อย่างนี้ ไอ้นี่อ่อนหัด ไอ้นั่นกระจอก ทั้ง มิเกล อาร์เตต้า และ มิเกล เมริโน่ แสดงให้เห็นว่าทัศนคติที่ดี สปิริตอันกลมเกลียว และความเชื่อมั่นในกันและกันต่างหากที่จะนำพาทีมไปสู่เป้าหมาย ไม่ใช่การชี้นิ้วด่ากันเอง โทษกันเอง หรือมัวแต่โวยวายถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ตัดสินใจไปแล้ว
เมื่อทุกคนทำตามหน้าที่ของตัวเอง เล่นตามระบบความเข้าใจของทีม มันจะนำพาผลลัพธ์ที่เหมาะสมมาให้ในที่สุด
เพราะคำว่าทีมก็มีความหมายชัดในตัวมันเอง เราเล่นกันเป็นทีม ไปด้วยกันทั้งทีม ทุกคนสำคัญหมด ไม่สำคัญเกมนี้ก็สำคัญเกมหน้า ไม่สำคัญเกมหน้าก็สำคัญเกมอื่น ๆ
เราสามารถทดแทนเพื่อนได้ไหมในวันที่เพื่อนเล่นแย่ เพื่อนสามารถเล่นแทนเราได้ไหมในวันที่เราหลุดฟอร์ม
วันนี้มึงเล่นไม่ได้ ไม่เป็นไร กูแทนมึงเอง แต่วันหน้ากูเล่นไม่ออก มึงช่วยลุยแทนกูทีนะ
ทีมของเราทำอย่างนี้ได้ไหม..
นี่แหละคำว่า ทีม มันไม่ใช่แค่คน ๆ เดียวหรือ 2 คน 3 คน แต่เป็นทั้งหมด ทุกคน
และคำว่าทุกคนในที่นี้ย่อมไม่ได้หมายถึงเพียงแค่นักเตะในสนาม ตัวสำรองข้างสนาม หรือโค้ชและทีมสตาฟฟ์ แต่มันควรจะหมายถึงทุกคนจริง ๆ ทั้งฝ่ายบริหาร ทั้งกองเชียร์ ทั้งเด็กเก็บบอล เจ้าหน้าที่ ทุกฝ่ายทุกภาคส่วน
ทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไหม ลงเรือลำเดียวกันไหม คอยผลักดันซึ่งกันและกันด้วยกำลังใจหรือเปล่า
จะดีจะแย่อาร์เซน่อลก็ไม่แพ้ใครมา 15 เกมติดต่อกันแล้วนะครับในพรีเมียร์ลีก มันคือผลงานที่ดีที่สุดในรอบ 14 ปีนับตั้งแต่ที่ไม่แพ้ใคร 16 เกมติดต่อกันในลีกช่วงเดือนธันวาคม 2010 ถึงเมษายน 2011 ในยุค อาร์แซน เวนเกอร์
และจะดีจะแย่.. อาร์เซน่อลก็เอาตัวรอดได้ในเกมที่ยากลำบากเกินคาด ขยับช่องว่างห่างจากลิเวอร์พูลเหลือ 4 คะแนน พร้อมทางเลือกเพิ่มเติมในวันที่ต้องพบกับปัญหากองหน้าเจ็บเพิ่มอีก
ไม่ซื้อหรือยืมตัวกองหน้ามาเสริมช่วงมกราคม.. เราไม่รู้เหตุผลที่ชัดเจนแน่นอนหรอก เขาอาจจะปรึกษากันแล้วได้ข้อสรุปว่าถ้าได้คนที่ไม่ถูกต้องมาจากการรีบร้อนซื้อหรือยืมจะยิ่งยุ่งเป็นลิงแก้แหเพราะแต่ละเกมแต่ละนาทีที่ผ่านไปในครึ่งซีซั่นหลังนั้นเดิมพันสูงลิบไม่เสี่ยงดีกว่าก็ได้ ฝ่ายบริหารไม่อนุมัติก็ได้ มั่นใจในคนที่มีอยู่ก็ได้ หรือมีแผนสองรองรับไว้แล้วอย่างกรณี เมริโน่ นี้ก็ได้
แต่ที่แน่ ๆ ทุกอย่างผ่านการตัดสินใจไปแล้ว มันก็ต้องเดินหน้าลุยกันต่อไป
ผมยังจำคำพูดอมตะของ เยอร์เก้น คล็อปป์ อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลก่อนเกมสำคัญที่ต้องรับมือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลลุ้นแชมป์ 2019/20 ได้ดี
"กระทั่งคนขายฮ็อตด็อกก็ต้องพร้อมที่สุด เข้าสนามกันให้เร็ว มันจะดีสุด ๆ ไปเลยนะถ้านักเตะของเราเดินออกมาอบอุ่นร่างกายแล้วได้สัมผัสกับความพร้อมของพวกเราทุกคนตั้งแต่แรก"
มันคือคำพูดที่โคตรทรงพลัง.. นี่แหละคำว่าทีม มันคือทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันจริง ๆ
แน่นอนครับ มองไปข้างหน้ายังคงเห็นแต่อุปสรรคมากมาย แต่มีความสำเร็จใดที่ได้มาโดยไร้ขวากหนามบ้าง
และบางที.. คุณค่าของมันอาจไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จปลายทางเพียงอย่างเดียว หากเป็นการฝ่าฟันไปด้วยกันระหว่างทางต่างหาก
สุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ ผิดหวัง หรือกระโดดโลดเต้น ได้กอดคอทำมันด้วยกัน ได้ร่วมหัวจมท้ายหัวเราะร้องไห้ไปด้วยกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งทีม..
เมื่อรู้ตัวอีกทีมันอาจจะโคตรมีความสุขเลยก็ได้ ภารกิจยิ่งยากก็ยิ่งมีความสุข เพราะมันแสดงให้เห็นว่าสปิริตของพวกคุณนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
-ตังกุย-