แฟนแมนยูต้องอ่าน!ถอดบทสัมภาษณ์ โรนัลโด้ กับ มอร์แกน ฉบับเต็มภาคแรก

แฟนแมนยูต้องอ่าน!ถอดบทสัมภาษณ์ โรนัลโด้ กับ มอร์แกน ฉบับเต็มภาคแรก
หลังจากปล่อยตัวอย่างมาหลายประเด็นจนกลายเป็นสิ่งที่คนในโลกลูกหนังพูดถึงกันอย่างหนักตลอดช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ล่าสุดเทปสัมภาษณ์ตัวเต็มชุดแรกระหว่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ เพียร์ส มอร์แกน ก็ถูกเผยแพร่เมื่อวันพุธที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งมันก็มีทั้งการที่ โรนัลโด้ พูดเรื่องส่วนตัว และการบอกว่าคนที่ตำหนิเขาทำไปเพราะความอิจฉา ลองไปดูกันเลยว่าคำพูดของเขามีอะไรบ้าง

- การย้ายกลับมาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด อีกครั้ง และข่าวลือที่ว่าเขาเคยเกือบย้ายไปอยู่กับ แมนฯ ซิตี้

"ถ้าให้พูดกันตามตรงก็ต้องบอกว่ามันเกือบจะเกิดขึ้นจริงๆ แต่อย่างที่คุณรู้ดีว่าประวัติศาสตร์ที่ผมมีกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, หัวใจของคุณ และความรู้สึกที่เคยรู้สึกเกี่ยวกับ 2 ทีมนี้ มันสร้างความแตกต่างได้ และแน่นอนว่ายังมีประเด็นของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ด้วย ดังนั้นผมเลยแปลกใจพอตัว (ที่ แมนฯ ซิตี้ อยากได้เขา) แต่มันเป็นการตัดสินใจจากจิตสำนึก เพราะตอนนั้นเสียงจากหัวใจมันดังกว่าทุกอย่าง"

- การที่ เฟอร์กูสัน มีส่วนทำให้เขากลับมาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด

"ผมคิดว่านั่นถือเป็นปัจจัยสำคัญเลย มันเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างในตอนนั้น แต่ผมคงจะโกหกถ้าบอกว่าผมไม่เคยใกล้ที่จะย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังไงก็ตาม ผมก็ตัดสินใจด้วยจิตใต้สำนึกของตัวเอง ผมไม่ได้นึกเสียดายเลย และอย่างที่คุณบอกก่อนหน้านี้ว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นปัจจัยสำคัญ"

"ใช่ ผมได้คุยกับเขา เขาบอกกับผมว่า -นายจะย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ได้เด็ดขาด- และผมก็ตอบไปว่า -โอเคครับ เจ้านาย- ดังนั้นผมเลยตัดสินใจไปแบบนั้น และผมขอย้ำว่าตอนนั้นผมเชื่อว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดี"

- การที่ทำได้ 2 ประตูตั้งแต่นัดแรกที่กลับมาเล่นที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

"มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษ แต่ผมไม่ได้รู้สึกดีแค่ในวันที่มีการแข่งขันเท่านั้น ผมรู้สึกตั้งแต่ราว 1 สัปดาห์ก่อนหน้านั้นแล้วว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไป ทั้งโลกพูดเกี่ยวกับผม พูดเกี่ยวกับ คริสเตียโน่ พูดเกี่ยวกับ -การกลับสู่สถานที่ที่คู่ควร- ดังนั้นการได้กลับไปยัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อเล่นให้แฟนๆ เลยเป็นช่วงเวลาที่พิเศษ และแน่นอนว่าการทำได้ 2 ลูกก็ถือเป็นการต้อนรับที่ดีที่สุดที่ผมได้รับกับที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มันเป็นวันที่น่าจดจำและเป็นวันที่ลืมไม่ลงพวกเขาตะโกนว่า -วีว่า โรนัลโด้- ในตอนที่ผมกลับมา อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่าสำหรับผมแล้วแฟนบอลคือทุกอย่าง"

- คิดยังไงกับสโมสรหลังจากไม่ได้อยู่กับทีมมาหลายปี

"เพียร์ส ผมต้องพูดตามตรงนะ ตอนที่ผมเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมเคยคิดว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วเพราะมันผ่านไปตั้ง 13 ปี ผมไปเล่นให้ เรอัล มาดริด 9 ปี แล้วก็กับ ยูเวนตุส 3 ปี ตอนที่ผมกลับมาอยู่กับทีมน่ะผมเคยคิดว่าทุกอย่างมันจะเปลี่ยไปจากแต่ก่อน อย่างพวกเทคโนโลยี, สิ่งก่อสร้าง ฯล แต่แล้วผมก็ต้องรู้สึกตกใจในทางที่แย่ๆ เอาเป็นว่าผมตกใจเพราะผมได้เห็นว่าทุกอย่างมันยังเหมือนเดิมแล้วกัน"

"อย่างที่คุณพูดขึ้นมา ตอนนั้น โอเล่ โดนปลด แล้ว ไมเคิ่ล คาร์ริค ก็มาได้คุมทีม 2 นัด ในเกมที่เจอกับ บียาร์เรอัล และ เชลซี ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากๆ ความไม่มั่นคงภายในสโมสรมันทำให้ผมแปลกใจสุดๆ ในความคิดของผมน่ะพวกเขาหยุดอยู่กับที่ ซึ่งนั่นทำให้ผมตกใจมากๆ"

- การเสริมทัพและการไม่พัฒนาสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในโมสร

"ผมแปลกใจมาก ตอนที่ผมกลับมาอยู่กับทีมน่ะพวกเขาซื้อ ซานโช่, และผมกลับมาด้วย มันทำให้เกิดความรู้สึกว่าหลายอย่างจะเป็นไปตามแบบที่ควรจะเป็นของ แมนเชสเตอร์ อย่างที่คุณพูดนั่นแหละว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทิ้งรูโหว่ขนาดใหญ่เอาไว้ที่สโมสร แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างมันไม่ได้มีแค่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพราะยังมี เดวิด กิลล์ ที่ถือเป็นประธานที่ดีมากๆ ด้วย โครงสร้างในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีความสำคัญกับการทำทีมมากๆ เช่นกัน ดังนั้นผมเลยรู้ดีในระดับหนึ่งว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่ผมก็ไม่คิดว่าช่องว่างมันจะใหญ่ขนาดนี้ มีหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และพูดตามตรงว่ามัน (การที่สิ่งก่อสร้างภายในสโมสรไม่มีการพัฒนาเลย) ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจมากที่สุด"

"ในความคิดของผม พัฒนาการของ ยูไนเต็ด เท่ากับ 0 ถ้าไปเปรียบเทียบกับ เรอัล มาดริด หรือแม้กระทั่ง ยูเวนตุส แล้วน่ะ มันก็ต้องบอกว่า 2 ทีมนั้นตามกระแสของโลก ดังนั้นเทคโนโลยีของพวกเขาเลยทำให้ผมแปลกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการซ้อม, โภชนาการ, ปัจจัยแวดล้อม, การกินอย้งเหมาะสม และการฟื้นตัวให้ดีกว่าเดิม"

"ในความคิดของผม ตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ตามหลังทีมเหล่านั้น ซึ่งมันทำให้ผมแปลกใจมากๆ สโมสรระดับนี้ควรจะอยู่ในจุดสูงๆ แต่น่าเศร้าที่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับนั้น แต่ผมหวังว่าปีต่อๆ ไปพวกเขาจะขึ้นไปอยู่ในระดับสูงได้ ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่นับตั้งแต่ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ออกจากทีมไปน่ะ ผมก็ไม่เห็นถึงพัฒนาการของสโมสรเลย พัฒนาการของพวกเขามันเป็น 0"

- ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับ ราล์ฟ รังนิค

"แน่นอน ผมให้ความเคารพเขาในระดับหนึ่ง เราต้องเรียกเขาว่าเจ้านายเพราะไม่ว่ายังไงก็ตามเขาก็คือคนที่อยู่ในตำแหน่ง ผมเรียกกุนซือทุกคนที่ผมร่วมงานด้วยว่าเจ้านายหมดนั่นแหละ เพราะถ้าพวกเขาคุมทีมอยู่เราก็ต้องเรียกเขาแบบนั้น แต่ลึกๆ แล้วในใจของผมน่ะผมไม่เคยมองว่าเขาเป็นเจ้านายเลย เพราะผมมองเห็นบางจุดที่จะไม่มีวันเห็นตรงกันกับเขา"

- แนวทางการทำทีมของ รังนิค และคำตำหนิจากสื่อ

"พูดตามตรงนะ เพียร์ส ผมไม่เข้าใจเรื่องแบบนั้นเลย พอมีโค้ชคนใหม่เข้ามาพวกเขา (สื่อ) ก็คิดหมือนกับว่าพวกเขาเจอน้ำ โคคา-โคล่า ขวดสุดท้ายกลางทะเลทรายซะอย่างนั้น ผมไม่เข้าใจแนวทางแบบนั้นของฟุตบอลตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาเลย"

"ผมเคารพโค้ชทุกคน, แนวทางการทำทีมทุกทาง, ความเห็นทุกรูปแบบ, หลักความคิดที่แตกต่างกัน แต่มันจะมีบางจุดที่คุณไม่เห็นด้วย ดังนั้นผมเลยเป็นแบบนั้นมาตลอด นอกจากนี้ผมก็เคยได้ร่วมงานกับโค้ชชั้นยอดของโลกอย่าง ซีดาน, อันเชล็อตติ, มูรินโญ่, แฟร์นันโด ซานโตส, อัลเลกรี ฯลฯ ด้วย ดังนั้นผมเลยมีประสบการณ์ที่ดีจากการที่ได้เรียนรู้จากพวกเขา"

"เมื่อคุณเห็นกุนซือบางคนที่เข้ามาและอยากปฏิวัติบางอย่างในวงการฟุตบอลแล้วน่ะผมก็มักจะไม่เห็นด้วย ส่วนพวกเขาอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับผมก็แล้วแต่ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของวงการนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้วผมมาอยู่กับสโมสรเพื่อที่จะชนะให้ได้ และผมก็อยากช่วยทีมด้วยประสบการณ์ของผม ก็เหมือนกับทุกทีนั่นแหละว่าโค้ชบางคนไม่ยอมรับอะไรแบบนั้น และมันก็เป็นส่วนหนึ่งของงานนี้"

- เรื่องที่ว่า รังนิค รู้หรือไม่ว่าทำอะไรอยู่ในช่วงที่อยู่ในตำแหน่ง

"ไม่ พวกเขาไม่รู้อะไรแม้แต่นิดเดียว พวกเขารู้แค่เรื่องฉากหน้าของสโมสร แต่พวกเขาไม่เข้าใจมิติหลักๆ ของสโมสร และประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของสโมสรเลย ซึ่งสำหรับผมแล้วนั่นทำให้ผมแปลกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อคุณปลด โอเล่ โซลชา แล้วน่ะ คุณก็ควรจะต้องเอากุนซือชั้นยอดเข้ามาคุมทีม ไม่ใช่คนที่เป็นแค่ผู้อำนวยการกีฬา"

- เรื่องที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา โดนปลด

"ผมรัก โซลชา ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม เพราะสิ่งที่ผมให้ความสำคัญในใจของตัวเองอยู่เสมอคือหัวใจของแต่ละคน และสำหรับผมแล้ว โอเล่ ก็เป็นคนชั้นยอด การเข้ามารับงานต่อจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นเรื่องยาก แต่ผมคิดว่าเขาทำได้ดีเลย"

"เขาต้องการเวลามากกว่านี้เยอะ แต่ผมมั่นใจว่าเขาจะเป็นโค้ชที่ดีได้ในอนาคต มันเป็นประสบการณ์ที่ดี ผมรู้สึกสนุกที่ได้ทำงานร่วมกับเขาแม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม"

- เรื่องที่ดาวรุ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด บางคนไม่ได้มองเขาเป็นแบบอย่างที่ดี

"นักเตะดาวรุ่งสมัยนี้ของทุกลีกทั่วโลกไม่ได้เป็นคนในรุ่นเดียวกับผม ดังนั้นเราเลยไม่สามารถโทษพวกเขาได้ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนรุ่นใหม่ได้เจอกับดทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้พวกเขาไขว้เขวจนไปสนใจเรื่องอื่นในบางโอกาส พวกเขาไม่เหมือนกับคนรุ่นของผม พวกเขาฟังอยู่บ้างก็จริงแต่นั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีหู 2 ข้าง คุณรับฟังเรื่องต่างๆ ด้วยข้างหนึ่ง และมันก็ไหลออกไปอีกข้างหนึ่ง"

"สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องบอกว่ามันน่าเสียดายนิดๆ เพราะถ้าพวกเขามีแบบอย่างที่ดีที่สุดอยู่ต่อหน้าตัวเอง และไม่พยายามเลียนแบบตัวอย่างที่ว่าเป็นอย่างน้อยแล้วล่ะก็ มันก็ถือเป็นเรื่องที่แปลกในมุมมองของผม ผมจำได้ว่าตอนที่ผมอายุ 18, 19 หรือ 20 ปีน่ะ ผมดูนักเตะชั้นยอดอย่าง ฟาน นิสเตลรอย, เฟอร์ดินานด์, รอย คีน และ กิ๊กส์ เป็นแบบอย่างอยู่เสมอ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จเป็นเวลานาน ผมทำอย่างนั้นได้เพราะผมดูแลร่างกายของตัวเองได้ดี, มีหลักความคิดที่เหมาะสม ผมทำเรื่องเหล่านั้นเพราะผมดูคนเหล่านั้นเป็นแบบอย่างและเรียนรู้จากพวกเขา"

- คำแนะนำสำหรับนักเตะดาวรุ่ง

"ผมเป็นคนประเภทที่ชอบให้คำแนะนำ เพราะผมอยากเป็นแบบอย่างที่ดี ดังนั้นผมเลยไปที่สนามซ้อมในทุกเช้าและทำเรื่องต่างๆ เหมือนเดิมอยู่เสมอ ผมอาจจะเป็นคนที่ไปถึงสนามซ้อมคนแรกและเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากที่นั่นด้วยซ้ำ ผมคิดว่ารายละเอียดต่างๆ มันบ่งบอกถึงทุกอย่างได้ดัอยู่แล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมพูดว่าผมชอบเป็นแบบอย่างที่ดี

- การเสียชีวิตของลูกชาย

"ตอนแรก จิโอ (จอร์จิน่า คนรักของเขา) มาที่บ้านแล้วลูกๆ ก็เริ่มถามว่า -เด็กอีกคนล่ะ ? เด็กอีกคนอยู่ไหน ?- แน่นอนว่าวันนั้นผมได้คุยกับ คริสเตียโน่ (ลูกคนโต) ก่อนใคร เพราะเขาอายุ 12 ปีแล้ว เขาเข้าใจโลกเป็นอย่างดีแล้ว ผมได้คุยกับเขา เราร้องไห้ร่วมกันในห้องนอนของเขาและอธิบายเรื่องต่างๆ แม้ว่าส่วนหนึ่งเขาจะเข้าใจดีแต่เขาก็สับสนนิดหน่อยเหมือนกัน"

"พอเช้าวันต่อมาเด็กๆ ก็เริ่มถามตอนอยู่ที่โต๊ะว่า -แม่ๆ เด็กอีกคนอยู่ไหนล่ะ บลา บลา บลา- พวกเขารู้ดี (ว่า จอร์จิน่า ท้องลูกแฝดในตอนแรก) เพราะตอนที่เธอตั้งท้องน่ะท้องของเธอโตนิดๆ จากการที่มีเด็ก 2 คนอยู่ในท้อง มันเป็นช่วงเวลาที่ทำใจได้ยาก หลังจากผ่านไปสัปดาห์หนึ่งแล้วผมก็พูดว่า -มาพูดกับลูกๆ แบบตรงไปตรงมาดีกว่า บอกกับพวกเขาว่า แองเจิ้ล ได้ไปสู่สรวงสรรค์แล้ว"

"การพูดแบบนั้นเป็นทางออกที่ดีกว่า พอเราเริ่มพูดแบบนั้นน่ะเด็กๆ ก็เข้าใจดี เวลาที่เราอยู่ที่โต๊ะพวกเขาก็จะพูดว่า -ป๊ะป๋า หนูทำนี่ให้ แองเจิ้ล ล่ะ- แล้วพวกเขาก็ชี้นิ้วขึ้นฟ้า ผมชอบการทำเรื่องแบบนั้นมากที่สุด เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเขา และผมจะไม่มีวันโกหกลูกๆ ของตัวเอง แน่นอนว่ามันเป็นกระบวนการที่ยาก แต่ในขณะเดียวกันผมก็เป็นพ่อที่ดีขึ้น, เป็นมิตรกับพวกเขามากขึ้น พวกเขาสนิทกับคุณพ่อของตัวเองมากกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผมและ จอร์จิน่า ด้วย"

- เรื่องที่ว่าความกดดันจากการเสียลูกชายมันส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์มากแค่ไหน

"สำหรับผมแล้วมันค่อนข้างส่งผลในทางดี ผมสนิทกับ จิโอ มากขึ้น ก่อนหน้านั้นผมเป็นเหมือนเพื่อนของเธอ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมรักเธอกับลูกๆ มากกว่าเดิม ผมเริ่มมองชีวิตในมุมที่ต่างออกไป มันเป็นช่วงเวลา 6 เดือนที่ยากลำบากที่สุด ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาผมมีความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่คุณพ่อของผมท่านเสียชีวิตนั่นแหละ"

- เรื่องเก็บอัฐิลูก

"แน่นอนว่าอัฐิของเขาอยู่กับผม อัฐิของเขาอยู่ในบ้านเหมือนกับอันของคุณพ่อของผม ผมอยากเก็บสิ่งเหล่านั้นให้อยู่กับผมไปตลอดชีวิต ผมไม่อยากเอามันไปโยนในมหาสมุทรหรือทะเล ผมอยากเก็บมันเอาไว้กับผม ผมเอาไปตั้งใกล้กับอันของคุณพ่อของผมในโบสถ์เล็กๆ ของเรา ผมเก็บคุณพ่อกับลูกของผมเอาไว้ที่นั่น ผมคุยกับพวกเขาทุกวัน พวกเขาอยู่เคียงข้างผมเสมอ คุณรู้ดีว่าพวกเขาช่วยให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น, เป็นพ่อที่ดีขึ้น ผมภูมิใจกับสิ่งที่เป็นเหมือนข้อความที่พวกเขาส่งมาให้ผมมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันของลูกชายของผม"

- เรื่องที่แฟนๆ กับราชวงศ์อังกฤษให้กำลังใจเขา

"ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเจออะไรแบบนั้น ตอนนี้ผมมีโอกาสแล้วที่จะได้ขอบคุณชาวอังกฤษผู้ใจดีที่ช่วยผมในเรื่องนั้น ผมได้รับจดหมายจากครอบครัวของพระราชินีด้วย มันทำให้ผมแปลกใจมากๆ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเคารพสังคมชาวอังกฤษและคนอังกฤษอย่างมาก พวกเขาใจดีกับผมสุดๆ ในช่วงที่ผมเจอกับความยากลำบากในชีวิตของผมน่ะกำลังใจที่ผมได้รับมันน่าทึ่งสุดๆ พวกเขาปฏิบัติกับผมดีมากๆ ในตอนที่ผมและครอบครัวของผมกำลังเจอกับความยากลำบาก ผมควรจะพูดขอบคุณต่อหน้ากล้องเลยนะว่า -ขอบคุณสังคมชาวอังกฤษที่ช่วยผมในตอนนั้น-"

- เรื่องที่ว่ากำลังวางแผนจะมีลูกอีกหรือไม่

"ตอนนี้ผมยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น ผมยังไม่ได้คิดเรื่องจะมีลูกเพิ่มรึเปล่า ถ้าเอาแค่ตอนนี้เราคิดว่าเราพอแล้ว แต่เราไม่มีวันคาดเดาอนาคตได้ มีแต่พระเจ้าที่รู้เรื่องนั้น แต่ตอนนี้เราอยากพักซะหน่อยเพื่อที่จะได้ใช้เวลาอย่างสนุกสนานไปกับลูกๆ ในปัจจุบัน เพราะพวกเขายังมีอายุน้อยอยู่ เราอยากมีเวลาที่ดีกับเจ้าตัวเล็กเหล่านี้ก่อน ส่วนอนาคตก็ค่อยรอดูกันอีกที

- เรื่องการกลับมาลงเล่นหลังจากเสียลูกชาย

"ผมได้รับกำลังใจที่ดีจากครอบครัวอยู่เสมอ จอร์จิน่า เองก็บอกผมว่า -ไปเล่นเถอะ ไปสนุกกับการทำในสิ่งที่คุณอยากทำ- มันช่วยทำให้คุณลืมเรื่องที่เกิดขึ้นได้นิดหน่อย แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ยาก แต่ในขณะเดียวกันการเล่นฟุตบอลมันก็ช่วยให้คุณไม่ต้องหมกมุ่นกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเกินไป แต่ก็อย่างที่คุณรู้ดีว่าเวลาในโลกฟุตบอลมันผ่านไปเร็วมากๆ การซ้อม, การลเงล่นในนัดต่างๆ หรือแม้กระทั่งเกมทีมชาติมันเกิดขึ้นเร็วมากๆ จนคุณไม่มีเวลาปรับตัวแล้วพูดว่ามันเกิดอะไรขึ้นได้เลย ทุกอย่างมันผ่านไปรวดเร็วสุดๆ แต่มันก็ถือเป็นตัวช่วยที่ดี จอร์จิน่า ช่วยผมได้เยอะมากที่ทำให้ผมมีความมั่นคงแบบนั้น"

"เราช่วยกันและกัน สมัยที่ยังเป็นเด็กน่ะเธอมีชีวิตที่ยากลำบาก ซึ่งตอนนี้เธอคงจะมองชีวิตต่างออกไปแล้วแม้ว่าจะยังอายุน้อยก็ตาม สมัยก่อนน่ะเธอเจอปัญหาหนักมากๆ เธอเกิดใน อาร์เจนตินา, มีปัญหากับครอบครัวของเธอ และต้องอยู่ตัวคนเดียว เธอเองก็มีชีวิตที่น่าสนใจเช่นกัน เธอช่วยผมได้เป็นอย่างดี สำหรับคนในวัยของเธอน่ะเธอถือเป็นคนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากๆ บางครั้งเราก็ช่วยเหลือกันและกัน ในตอนที่ผมท้อแท้นิดหน่อยเธอก็จะให้กำลังใจผม ส่วนผมเองก็ทำอย่างนั้นให้เธอเหมือนกัน เราเป็นคู่รักที่ดีที่ช่วยกันและกัน ผมเลยดีใจมากๆ ที่มีเธอมาอยู่เคียงข้างผม"

- เรื่องที่ว่ามีแผนจะแต่งงานในเร็วๆ นี้หรือไม่

"ผมยังไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ผมคิดว่าในอนาคตน่ะผมและเธอสมควรที่จะได้แต่งงานกัน เรื่องนั้นไม่ได้อยู่ในแผนของผมในตอนนี้ แต่ถ้าเป็นในอนาคตก็ต้องบอกว่าใช่ ผมอยากแต่งงานกับเธอ"

- เรื่องคำตำหนิที่เจอกับการกลับมาเล่นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด

"ผมคุ้นเคยกับเรื่องแบบนั้นเพราะผมอายุ 37 ปีแล้ว ผมเข้าใจหลายเรื่องและได้เรียนรู้หลายอย่าง เมื่อคุณจมอยู่ใต้คลื่น หรือตอนที่อยู่เหนือคลื่นแล้วน่ะ คุณก็จะได้ตระหนักและเห็นสิ่งที่ไม่เยเห็นมาก่อน ผมดีใจนะที่ตัวเองมีช่วงเวลาที่แย่ เพราะมันทำให้ผมได้เห็นว่าใครที่อยู่เคียงข้างคุณจริงๆ และใครที่ตำหนิคุณมากกว่าเดิม พวกเขาจ้องจะเล่นงานคุณ อยู่แล้ว พวกเขาไม่ชอบเห็นใครประสบความสำเร็จ"

"พวกเขาเหล่านั้นเอาแต่พยายามก่อเรื่องในแง่ลบ ผมรู้สึกถึงเรื่องนั้นตลอดช่วง 4 หรือ 5 เดือนที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้แค่พาดพิงผมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงครอบครัวของผมหรือ จอร์จิน่า ด้วย สื่อทั่วโลกตำหนิผมหนักกว่าเดิมมากเป็นพิเศษ ซึ่งบางครั้งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้"

"ผมยังเชื่อว่าความอิจฉาเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเหล่านั้น พวกเขาอยากทำหลายอย่างที่ช่วยทำให้ตัวเองเป็นที่สนใจ แต่ฟังนะ เพียร์ส ผมรู้ดีว่าผมอยู่ในจุดสูงสุดมา 21 ปีแล้ว ผมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นสำหรับผมแล้วมันไม่ใช่ปัญหาเลย"

"เมื่อคุณท้อแท้นิดหน่อยแล้วน่ะการต้องมาทนฟังคำตำหนิแบบนั้นก็เป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ยาก แต่ผมสนใจแค่คนที่ชอบผม ผมจะไม่เสียเวลาไปกับคนที่ไม่ชอบผมหรอก ผมคิดว่ามันเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ คนเหล่านั้นไม่ใช่คนที่ผมสนใจสักนิด"

- เรื่องที่อดีตเพื่อนร่วมทีมบางคนตำหนิเขา อย่างเช่น เวย์น รูนี่ย์

"เมื่อราว 6 เดือนก่อนเราอยู่ด้วยกันในบ้านของผม และเขาก็มารับลูกของเขาที่อยู่ที่บ้านของผม พร้อมกับชวน คริสเตียโน่ (ลูกชายของ โรนัลโด้) ไปเล่นฟุตบอลด้วยกันที่บ้านของเขาอยู่เลยแท้ๆ ผมไม่เข้าใจคนแบบนั้นเลย ผมไม่รู้ว่าพวกเขาทำไปเพราะอยากเป็นข่าวหน้าหนึ่ง, อยากได้งาน หรืออะไรพรรค์นั้น"

- นักเตะที่เขาประทับใจในตอนนี้

"ถ้าเป็นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมสามารถพูดถึง ดาโลต์ ได้เลย เขายังอายุน้อยอยู่ก็จริงแต่ก็มีความเป็นมืออาชีพสูงมากๆ ผมมั่นใจว่าเขาจะโลดแล่นในวงการนี้ได้นานเพราะเขาอายุน้อย, ฉลาด, มีไหวพริบที่ดี และมีความเป็นมืออาชีพสูงมากๆ ที่จริง (ลิซานโดร) มาร์ตินเซ กับ กาเซมีโร่ ที่อยู่ในช่วงวัย 30 ปีก็อาจจะเข้าข่ายนั้นได้เหมือนกัน แต่ผมขอตอบว่า ดาโลต์ แล้วกัน"

- เรื่องที่ชุดแข่งของเขาขายได้ดีกว่าของ ลิโอเนล เมสซี่ หากนับเฉพาะช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังจากที่เขาย้ายกลับมาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด

"แน่นอนว่าผมดีใจกับเรื่องนั้น อย่างที่คุณรู้ดัว่าผมไม่ได้ไล่ตามสถิติ แต่สถิติต่างหากที่ไล่ตามผม มันเป็นอีกหนึ่งสถิติที่จะอยู่ในหนังสือของผม"

- เรื่องที่มีคนกด ไลค์ เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ทวิตเตอร์ ในตอนที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ประกาศดึงเขากลับมาอยู่กับทีม

"มันเป็นเรื่องดี อย่างที่ผมบอกกับคุณว่ามันเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะในความคิดของผมน่ะหลายอย่างมันเปลี่ยนไปในช่วง 72 ชั่วโมง"

- เรื่องที่มีคนฟอลโล่ว์ทางโซเชียลมีเดียเยอะที่สุด

"ผมรู้สึกภูมิใจในเรื่องนั้น มันมีความหมายอย่างมาก มันหมายความว่าหลายคนชอบผม บางครั้งผมก็ถามตัวเองว่า ทำไมผมถึงเป็นเบอร์ 1 ทำไมกัน ? ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะผมหน้าตาดีด้วยล่ะมั้ง"


ที่มาของภาพ : gettyimages
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport