หลังจบช่วงพักเบรกทีมชาติอีกครั้ง ตอนนี้ได้เวลาเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะกลับมาฟาดแข้งในช่วงสุดสัปดาห์นี้ งานนี้จึงมี 5 ประเด็นที่น่าสนใจที่ต้องจับตามอง
สำหรับตอนนี้เกมเนชั่นส์ ลีก เสร็จสิ้นแล้ว โดย อังกฤษ ได้เลื่อนขึ้นมาเล่นในกลุ่ม เอ แน่นอนว่านี่คือความน่าประทับใจของผู้คนในเมืองผู้ดี แต่ต่อจากนี้ไปจะเป็นการฟาดแข้งแบบไม่มีเกมทีมชาติมาขั้นกลางจนกระทั่งเดือนมีนาคมปีหน้าเลยทีเดียว
ไม่มีอะไรต้องสงสัยเพราะเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดีช่วงสุดสัปดาห์นี้ทุกสายตาจับจ้องไปที่สนามพอร์ทแมน โร้ด เพราะ รูเบน อโมริม จะทำหน้าที่กุมบังเหียนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แมตช์แรกในการปะทะกับ อิปสวิช ทาวน์ ซึ่งมี คีแรน แม็คเคนน่า อดีตโค้ช "ผีแดง" กุมบังเหียนอยู่
ขณะที่ ลิเวอร์พูล ที่ตอนนี้รั้งตำแหน่งจ่าฝูงด้วยการเก็บไปแล้ว 28 คะแนนทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 5 แต้ม มีคิวเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมบ๊วยในตารางลีก วันอาทิตย์เช่นกัน โดยงานนี้ทีมของกุนซืออาร์เน่อ สล็อต จะสามารถรักษาระยะห่างแบบนี้ได้ต่อไปหรือไม่ ส่วน รัสเซลล์ มาร์ติน จะได้อยู่คุมทัพ "นักบุญ" ต่อไหมหลังจบแมตช์นี้
นอกจากนี้เกมที่น่าสนใจอีกแมตช์คงหนีไม่พ้น อาร์เซน่อล ที่ต้องการผลการแข่งขันที่ดีที่สุดในเกมปะทะ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ทีมจอมเซอร์ไพรส์ซึ่งอยู่ช่วงฟอร์มร้อนแรงสุด
ดังนั้นเกมในช่วงสุดสัปดาห์นี้มี 5 ประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และจะเป็นเรื่องใดบ้างลองไปพิจารณากันได้เลย
1. การกลับมาถิ่นเก่าของ มาเรสก้า
เลสเตอร์ ซิตี้ พบ เชลซี : วันเสาร์ที่ 23 พ.ย.
เปิดหัวเกมลีกด้วยแมตช์ที่คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม โดย เอ็นโซ่ มาเรสก้า กุนซือชาวอิตาเลียน จะหวนกลับมายังรังเก่าของเขา หลังเจ้าตัวตัดสินใจอำลา เลสเตอร์ ซิตี้ เพื่อไปกุมบังเหียน เชลซี ช่วงซัมเมอร์ล่าสุด ทั้งๆ ที่เป็นคนนำทัพ "จิ้งจอกสยาม" หวนคืนสู่เวทีพรีเมียร์ลีกทั้งๆ ที่กุมบังเหียนแค่ซีซั่นเดียวเท่านั้น
อดีตมือขวา เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สร้างชื่อกระฉ่อนจากการคุมเลสเตอร์ และแน่นอนว่าเขายังคงเป็นที่รักของแฟนบอล "เดอะ ฟ็อกซ์" ฉะนั้น มาเรสก้า น่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทุกๆ คน
ขณะที่ เคียร์แนน ดิวส์บิวรี่-ฮอลล์ คงต้องนั่งเป็นตัวสำรองในเกมนี้ เพราะด้วยมารยาทเจ้าตัวน่าจะไม่ถูกส่งลงสนาม เพราะเพิ่งย้ายมาจาก เลสเตอร์ ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ (ราว 1,320 ล้านบาท) ช่วงซัมเมอร์เช่นกัน
สำหรัการกลับมาเยือนถิ่นเก่า มาเรสก้า คงหวังจะนำ "สิงโตน้ำเงินคราม" คว้าสามคะแนนให้ได้เพื่อโอกาสในการไล่กดดัน ลิเวอร์พูล จ่าฝูง และทิ้งระยะห่างจากทีมอื่นๆ ในการลุ้นติดท็อปโฟร์
2. ปืนใหญ่ห้ามขัดลำกล้อง
อาร์เซน่อล พบ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ : วันเสาร์ที่ 23 พ.ย.
อาร์เซน่อล อยู่ในช่วงฟอร์มฝืดอย่างน่าใจหายเมื่อพวกเขาสะกดคำว่าชนะไม่เป็นในเกมพรีเมียร์ลีก 4 แมตช์ติดต่อกัน และนั่นทำให้ความฝันในการคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 20 ปีเริ่มค่อยๆ เลือนลางลงไปเรื่อยๆ ยิ่งถ้าดันทะลึ่งแพ้ ฟอเรสต์ คาบ้านยิ่งไปกันใหญ่
"เดอะ กันเนอร์ส" ได้รับข่าวดีเมื่อ มาร์ติน โอเดอการ์ด จอมทัพกัปตันทีมฟิตสมบูรณ์พร้อมลงเป็นตัวจริงแล้ว แต่กระนั้นพวกเขาดันดวงแตกมาเจอกับข่าวร้ายในช่วงฟีฟ่าเดย์ เพราะ เลอันโดร ทรอสซาร์ มีปัญหาบาดเจ็บขณะช่วยทีมชาติเบลเยียม
พวกเขาคาดหวังว่า เดแคลน ไรซ์ กับ บูกาโย่ ซาก้า ซึ่งเป็นสองแข้งคีย์แมนของทัพ "ปืนใหญ่" จะฟิตเต็มร้อย หลังจากทั้งสองคนตัดสินใจถอนตัวจากการเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ ช่วงพักเบรกทีมชาติ
งานนี้ถ้าหาก มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีม ได้ตัวผู้เล่นหลักทั้งสามคนกลับมาลงสนามพร้อมกัน มีโอกาสที่ทีมจะคว้าชัยชนะ และทำให้เส้นทางการลุ้นแชมป์ลีกยังคงอยู่ต่อไป แต่ระวังให้ดีเพราะทัพ "เจ้าป่า" ฟอร์มไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่เชื่อลองไปถาม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ได้เลย !!
3. พลิกสถานการ์หรือวิกฤติกว่าเดิม
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ : วันเสาร์ที่ 23 พ.ย.
ทัพ "เรือใบสีฟ้า" ยังคงหน้ากลัวอยู่เสมอ และพวกเขาเป็นทีมเต็งแชมป์ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเนื่องจากผลงานคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 6 จาก 7 ซีซั่นหลังสุด แต่กระนั้นแชมป์เก่าดันมาเจออุปสวรรคเรื่องแหกกฎการเงิน ทำให้ภายในทีมมีความระส่ำอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สามารถนำทีมให้กลับมามีสมาธิในการแข่งขันฟุตบอลได้เป็นอย่างดีในช่วงแรก แต่ดูเหมือนก่อนพักเบรกทีมชาติครั้งล่าสุด เขาไม่สามารถนำ แมนซิตี้ โชว์ฟอร์มได้อย่างที่ต้องการ และต้องเจอกับประสบการณ์เลวร้ายครั้งแรกในอาชีพกุนซือเมื่อแพ้ 4 เกมติดต่อกันในทุกรายการ
ดังนั้นการรับมือ สเปอร์ส เป็นงานที่ค่อนข้างหนักพอสมควร แต่ข้อดีก็คือพวกเขาได้เล่นในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม งานนี้กองเชียร์คงจะช่วยส่งเสียงกระตุ้นเพื่อให้ทีมเรียกฟอร์มเก่งคืนกลับมาอีกครั้ง
ขณะที่ "ไก่เดือยทอง" ที่ฟอร์มขาดความคงเส้นคงวา แต่นี่จะเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับ แมนซิตี้ เนื่องจากตอนนี้ทีมตามหลัง ลิเวอร์พูล อยู่ 5 คะแนน แต่ถ้าคว้าชัยชนะได้ก็จะลดช่องว่างเหลือ 2 แต้ม เพราะ "เดอะ เร้ดส์" แข่งวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นการส่งแรงกดดันให้กับจ่าฝูง แต่ประเด็นหลักก็คือ "เรือใบสีฟ้า" ต้องชนะให้ได้เท่านั้น
4. อนาคตของ มาร์ติน แขวนอยู่บนเส้นด้าย
เซาธ์แฮมป์ตัน พบ ลิเวอร์พูล : วันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.
รัสเซลล์ มาร์ติน กุนซือเซาธ์แฮมป์ตัน ตกอยู่ในสถานการณ์กดดันอย่างหนัก หลังต้นสังกัดรั้งอันดับบ๊วยในตารางลีก โดยมีแค่ 4 คะแนนจาก 11 เกม ดังนั้นสิ่งที่ "นักบุญ" ต้องทำก็คือเก็บชัยชนะเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมา
ตอนนี้บรรดาแข้ง "เดอะ เซนต์ส" ต้องเชื่อมั่นในกระบวนการและแท็กติกของ มาร์ติน เพื่อเรียกฟอร์มเก่งกลับมา และนำทีมหลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายให้ได้ ไม่อย่างนั้นอนาคตของ มาร์ติน คงน่าเป็นห่วง
แม้แฟนบอล "นักบุญ" และบอร์ดบริหารสโมสรยังคงให้การหนุนหลัง มาร์ติน แต่ถ้า เซาธ์แฮมป์ตัน ยังไม่สามารถได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ งานนี้ก็คงเป็นเรื่องยากถึงยากที่สุดที่เขาจะรักษาเก้าอี้นายใหญ่แห่งถิ่นเซนต์ แมรี่ส์ เอาไว้ได้
เมื่อลองเช็คโปรแกรมในลีกของพวกเขาต้องบอกว่าน่าขนลุกเลยทีเดียว เพราะหลังเกมกับ ลิเวอร์พุล ก็ต้องไปเยือน ไบรท์ตัน ตามด้วยพบ เชลซี (เหย้า), แอสตัน วิลล่า (เยือน) และ สเปอร์ส (เหย้า) ถ้า มาร์ติน ไม่สามารถนำทีมสร้างผลงานให้ดีขึ้น มีสิทธิ์เป็นกุนซือคนที่สองต่อจาก เอริค เทน ฮาก ที่โดนเฉดหัวออกจากทีม
5. เดบิวต์ อโมริม
อิปสวิช ทาวน์ พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : วันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.
กลุ่ม อิเนออส ภายใต้การนำของ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ ถูกตั้งคำถามมากมายนับตั้งแต่ที่เข้ามาถือหุ้นร่วม แมนยูไนเต็ด ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ยกตัวอย่างการต่อสัญญาใหม่กับ เทน ฮาก, หนุนหลังด้วยการทุ่มเงินซื้อนักเตะใหม่ 180 ล้านปอนด์ (ราว 7,920 ล้านบาท) และอีกหลายๆ เรื่อง
อย่างไรก็ตาม มีหนึ่งเรื่องที่พวกเขาทำได้ถูกต้องนั่นก็คือการปลด เทน ฮาก ออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง รูเบน อโมริม กุนซือชาวโปรตุกีส เข้ามากุมบังเหียน โดยพวกเขามองว่า "พี่เจ๋ง" เป็นโค้ชคนหนุ่มในยุโรป และเชื่อว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงหลายๆ สิ่งให้ดีขึ้น
กุนซือวัย 39 ปี พร้อมที่จะยึดมั่นในปรัชญาการคุมทีมของเขา นั่นก็คือระบบการเล่น 3-4-3 ที่เขามักจะใช้กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ซึ่งทำให้ทีมสร้างผลงานโดดเด่นในลีกโปรตุเกส และเวทีฟุตบอลถ้วยยุโรป
สำหรับตอนนี้ อโมริม พร้อมแล้วที่จะทำหน้าที่เปิดตัวการคุมทีมอย่างเป็นทางการทัพ "ปีศาจแดง" ที่สนามพอร์ทแมน โร้ด ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ แต่นักเตะแมนยูต้องรีบปรับตัวกับสไตล์ใหม่ให้เร็วที่สุด ถ้าพวกเขาต้องการเปลี่ยนผลงานของทีม และขยับขึ้นจากอันดับ 13 ในเวลานี้
ทอมเม้ง