การบ้านเทอมสองผ่านไปอย่างราบรื่น เป็นการตอบคำถามได้ดีอีกครั้งสำหรับ อาร์เน่อ ชล็อต..
นับตั้งแต่แพ้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ คาแอนฟิลด์ในเกมที่ 4 ของฤดูกาลเมื่อกลางเดือนกันยายน ลิเวอร์พูลก็ไม่พลาดปราชัยใครอีกเลย
7 เกมในพรีเมียร์ลีก ชนะ 6 เสมอ 1
4 เกมในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ชนะรวด
2 เกมในลีก คัพ ชนะได้ทั้งหมด
จากบทเรียนในวันพ่ายทีมเจ้าป่า ชล็อตพาหงส์แดงเก็บชัยชนะ 12 จาก 13 เกมทุกรายการ เกมเดียวที่ไม่ชนะคือการบุกไปควัก 1 แต้มกลับจากถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมของอาร์เซน่อล
มันก็พอจะพูดได้ว่าการแพ้ฟอเรสต์เป็นความพ่ายแพ้ที่คุ้มค่า เพราะตัวเขาและลูกทีมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากความปราชัยครั้งนั้น จากนั้นมาลิเวอร์พูลไม่พลาดอีกเลยแม้แต่เกมเดียว
คู่ต่อสู้ที่ยังไม่พร้อมมากนักในเทอมหนึ่งผ่านไปพร้อมกับคำถามเพิ่มเติม.. จะไหวไหมเมื่อต้องเจอกับคู่แข่งที่เก่งขึ้นในเทอมสอง คือช่วงหลังฟีฟ่าเดย์เดือนตุลาคม
จาก อิปสวิช เบรนท์ฟอร์ด แมนฯ ยูไนเต็ด (ที่กำลังย่ำแย่) ฟอเรสต์ บอร์นมัธ วูล์ฟแฮมป์ตัน และ คริสตัล พาเลซ มาเป็น เชลซี อาร์เซน่อล ไบรท์ตัน และ แอสตัน วิลล่า ยังไม่รวม แอร์เบ ไลป์ซิก กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น แชมป์ไร้พ่ายจากเยอรมันที่รออยู่ในเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก
จากคู่แข่งที่ไม่มีทีมไหนอยู่ในอันดับดีกว่าที่ 10 ของลีกเลย มาสู่ทีมอันดับ 3-4-5-6 ของตารางพรีเมียร์ลีก
ลิเวอร์พูลและชล็อตจะไหวไหม..
คำตอบปรากฏออกมาแล้ว พวกเขาก็ยังผ่านมันไปได้ด้วยดี
ชนะเชลซี เสมอเกมเยือนอาร์เซน่อล ชนะไบรท์ตัน ชนะแอสตัน วิลล่า.. เก็บ 10 จาก 12 คะแนนเต็มในลีก
บุกชนะไลป์ซิก ถล่มเลเวอร์คูเซ่น เก็บ 6 คะแนนเต็มในเกมที่ 3 กับ 4 สมทบกับของเดิมที่ตุนไว้จากการชนะเอซี มิลาน และ โบโลญญ่า ทีมหงส์แดงคือทีมเดียวในเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ชนะรวดทั้ง 4 เกมที่ลงสนาม
ชนะไบรท์ตันในลีก คัพ ตบเท้าเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายไปล่าแชมป์สมัยที่ 11
รวมแล้วตั้งแต่เริ่มนับหนึ่งด้วยเกมบุกชนะอิปสวิช ทาวน์ ในวันเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก ชล็อตมีผลงานเตะ 17 ชนะ 16 เสมอ 1
ผลงานดีที่สุดในบรรดากุนซือที่ประเดิมคุมทีมในพรีเมียร์ลีกเป็นฤดูกาลแรก.. คงไม่เลวกระมังครับกับโค้ชโนเนมที่หลายคนสงสัยว่า "ใครวะ?" หรือกระทั่งด่วนปรามาสเขาตั้งแต่คราวแรกที่ได้ยินชื่อ ส่ายศีรษะ ถอนหายใจ..
แน่นอนครับ เส้นทางพิสูจน์ตัวเองของ อาร์เน่อ ชล็อต ยังอีกยาวไกล ปลายทางจะเป็นอย่างไรไม่อาจรู้ได้หรอก มันอาจจะยอดเยี่ยมไปเลยก็ได้ อาจจะพอไปวัดไปวาก็ได้ หรืออาจจะพังพินาศยับเยินไม่มีชิ้นดีก็ได้
แต่อย่างน้อยถ้าจะลองนึกย้อนกลับไปดูอีกที ในวันนี้เขาก็ได้ตอบคำถามเราไปแล้วมากมาย คลายความวิตกกังวลและสงสัยที่หลาย ๆ คนเคยมีได้อย่างน่าประทับใจ
-เยอร์เก้น คล็อปป์ วางมือ ความตกต่ำมาเยือนแล้ว
-ชาบี อลอนโซ่ ไม่มา รูเบน อโมริง ก็ไม่มา แล้วนี่ไปเอาใครมาเป็นโค้ชกันล่ะนั่น
-ลีกดัตช์กับพรีเมียร์ลีกมาตรฐานต่างกันเยอะ จะรอดูว่าเจอความกดดันของพรีเมียร์ลีกแล้วจะไปไหวมั้ย
-จะใช้งานนักเตะที่คล็อปป์ทิ้งไว้ให้ได้ดีแค่ไหน จะคุมนักเตะอยู่หรือเปล่า ทีมจะแตกมั้ย
-ไม่ซื้อใครเลยตอนซัมเมอร์ มันจะไปรอดได้ยังไง
-กองกลางอย่าง มาร์ติน ซูบิเมนดี้ ก็พลาดไปอีก ไม่เห็นหรือไงว่าไอ้คนที่มีอยู่มันไม่ไหว มีแต่ปริมาณ ไม่มีคุณภาพ (คำพูดเดิม ๆ เหมือนตอนก่อนเปิดฤดูกาล 2019/20 เป๊ะ)
-เจอแต่กับคู่แข่งที่อ่อนกว่า เดี๋ยวหลังฟีฟ่าเดย์เดือนตุลาคมได้เจอของแข็งเรียงหน้ารออยู่ ของจริงล่ะทีนี้
ฯลฯ
ครับ ชล็อต ก็ตอบคำถามเหล่านั้นให้เราเห็น อย่างน้อยเขาก็บอกเราด้วยฟุตบอลของเขาว่า นักเตะลิเวอร์พูลที่มีอยู่นั้นก็มีคุณภาพอยู่นะ ไม่ได้มีแค่ปริมาณอย่างที่เชื่อ ๆ กัน
และที่เขาพร่ำบอกว่าขอเขาดูคนเก่าที่ยังอยู่ก่อน ยังไม่อยากรีบร้อนซื้อใครเข้ามาเสริมในทันที เขายังไม่รู้จักนักเตะของเขาดีพอเลย หลายคนติดภารกิจทัวร์นาเม้นต์ยูโรและโกปา อเมริกา กลับมารายงานตัวช้าด้วยซ้ำ
ยังไม่ทันทำความรู้จักคนเก่ากันเลย จะให้ซื้อคนใหม่แล้วหรือ แล้วบรรดานักเตะเก่า ๆ เหล่านั้น เยอร์เก้น ก็เป็นคนการันตีเองแท้ ๆ ว่าจะเป็นขุมกำลังที่ดีให้เขาได้แน่
พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าทีมจะไม่ซื้อใครเลยร้อยเปอร์เซนต์ ถึงอย่างไรเรื่องซื้อนักเตะเสริมนั้นก็อยู่ในแผนงานอยู่แล้ว แต่ขอให้เขาและทีมงานได้ดำเนินการอย่างรอบคอบบนพื้นฐานของเหตุผลก่อนได้ไหม เพราะเท่าที่เขาเห็น ทุกตำแหน่งในทีมก็มีนักเตะ 2-3 คนพร้อมต่อสู้แย่งชิงพื้นที่กันอยู่
ฉะนั้นขอให้เขาได้ทำงานกับลูกทีมดูก่อนเถิดว่าใครจะไปได้ไม่ได้อย่างไรกับวิธีการเล่นของเขา
บางครั้ง เราก็ควรให้พื้นที่กับทีมทำงานบ้าง ให้เกียรติการตัดสินใจของคนที่คลุกวงในอยู่กับปัญหาและปัจจัยยากง่ายต่าง ๆ ที่เรามองไม่เห็นบ้าง ไม่ใช่ว่าพอเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่เราอยากเห็นก็ด่าเขาสาดเสียเทเสีย ดูถูกดูแคลนเขาอย่างที่ปรากฏในคอมเมนต์มากมายบนโลกโซเชียล
วิจารณ์หรือวิเคราะห์ด้วยมุมมอง อธิบายความคิดเห็นของตัวเองอย่างมีเหตุผลนั้นเป็นอีกเรื่องนะครับ มันไม่เหมือนโดยสิ้นเชิงกับการด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรงตามพายุอารมณ์
บางทีเราเองก็เอาแต่ใจกันเกินไป อยากจะได้นักเตะใหม่จนไม่เห็นหัวคนที่ยังอยู่ และทุกอย่างต้องเอาให้ได้เดี๋ยวนั้น นาทีนั้น
ผมเชื่อว่าจะอย่างไรการซื้อนักเตะย่อมมีแน่ มันก็เป็นอย่างนี้มาตลอด บางฤดูกาลซื้อ บางฤดูกาลไม่ได้ซื้อ และมันก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรบังคับว่าต้องซื้อเท่านั้นถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ฤดูกาล 2019/20 ที่ลิเวอร์พูลลุยแหลกได้แชมป์อย่างระเบิดเถิดเทิงทั้งที่ไม่ได้เสริมใครตอนซัมเมอร์คือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่สุด (ซื้อแค่ เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก ดาวรุ่งวัย 18 กับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ดาวรุ่งวัย 16 ซึ่งเป็นการซื้อสำหรับอนาคต)
คำด่าและเสียงโวยวายที่ไม่ซื้อใครตอนก่อนเปิดฤดูกาลยังก้องในหูอยู่เลยตอนคล็อปป์พาลิเวอร์พูลชนะ 26 เสมอ 1 จาก 27 เกมแรก นำลิ่วทิ้งอันดับสองกระจุยได้ฉลองแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปีแน่ ๆ อยู่ที่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น
การเปลี่ยนโค้ชใหม่ก็คล้ายกับการรีเซ็ตทุกอย่างใหม่ แผนใหม่ วิธีการใหม่ แท็คติกใหม่ แน่นอนบางอย่างอาจจะเหมือนเดิม บางอย่างอาจจะคล้ายเดิม หรือบางอย่างอาจจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย แต่ทุกคนควรต้องลืมภาพจำเก่า ๆ ไปให้ได้ก่อน รวมทั้งเราแฟนบอลด้วย
นักเตะที่เล่นไม่ออกในยุคคล็อปป์อาจจะเล่นได้ดีในยุคชล็อตก็ได้ ลองดู ไรอัน กราเฟนแบร์ก เป็นตัวอย่างก็จะเห็นได้ชัด มีใครมองเขาบ้างในวันที่เราเรียกร้องให้ทีมต้องซื้อกองกลางเพิ่ม
เช่นเดียวกัน ทุกการตัดสินใจก็อาจมีช่องโหว่หรือความไม่ลงตัวเกิดขึ้น นักเตะที่ไปได้ดีหรือไปได้ไหวในระบบของคล็อปป์จึงอาจมีปัญหาต้องปรับตัวในการเล่นของชล็อตก็ได้ อย่างที่ วาตารุ เอนโด กับ โดมินิก โซโบซไล กำลังเรียนรู้และทำงานของพวกเขาตรงนั้นอยู่
แต่ในขณะที่กองกลางทีมชาติญี่ปุ่นและกองกลางทีมชาติฮังการีซ้อมหนัก ทำงานหนัก พยายามปรับการเล่นของตัวเองให้ลงตัวกับวิธีการของเจ้านายใหม่ ดิ้นรนต่อสู้เพื่อแย่งตำแหน่งตัวจริงและช่วยทีม บนความกังวลว่าอนาคตของตนเริ่มไม่มั่นคง เราบางคนก็ผลักไสเขาเสียแล้วหลังจากฤดูกาลเพิ่งจะผ่านไปได้แค่สิบกว่านัด
เล่นไม่ได้ ไร้ประโยชน์ ไม่ได้เรื่อง ขายทิ้งไปเถอะ..
ในฉับพลันทั้งคู่ก็กลายเป็นนักเตะกระจอก ๆ ไปเลยในสายตาของบางคน
เอาล่ะครับ ทุกอย่างว่ากันด้วยผลงานนั้นถูกต้องอยู่แล้ว นักเตะที่ยังทำได้ไม่ดีพอก็ย่อมรู้ตัวเอง โค้ชก็ย่อมเห็น และต่างกำลังพยายามกันอย่างหนักเพื่อร่วมกันแก้ไขมัน เพื่อทำให้ทุกคนพอใจอีกครั้ง
จะทำได้หรือทำไม่ได้.. ไม่รู้หรอก สำหรับผมก็อยากเห็นพวกเขาทำมันให้ได้ เหมือนที่ อาร์เน่อ ชล็อต ทำได้แล้วกับการตอบคำถามต่าง ๆ ที่พุ่งมาสู่เขา อย่างน้อยก็ในช่วงแรกของถนนสายยาวไกลเส้นนี้
สามเดือนแรกของฤดูกาลแรกผ่านไป ชล็อตคงมองเห็นภาพต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น เขารู้จักลูกทีมมากขึ้น รู้จักพรีเมียร์ลีกมากขึ้น เข้าใจวัฒนธรรมต่าง ๆ ของฟุตบอลอังกฤษมากขึ้น
มองไปข้างหน้า เขาก็คงเห็นภาพคร่าว ๆ ของทีมของเขาในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง ทีมของเขาในฤดูกาลหน้า หรือกระทั่งทีมของเขาในอีก 2-3 ฤดูกาลข้างหน้า มีแผนงานที่ร่างไว้หยาบ ๆ อยู่ในหัว มีเรื่องที่ต้องปรึกษาพูดคุยกับ ริชาร์ด ฮิวจ์ส ผู้อำนวยการกีฬาที่ต้องทำงานร่วมกัน มีนักเตะทั้งที่อยู่ในแผนและคนที่มีความเสี่ยงว่าจะไม่อยู่ในแผน
แต่แน่นอน สมาธิหลักยังต้องเป็นภารกิจในฤดูกาล 2024/25 นี้
เราจะได้เห็นทีมของเขาชัดเจนขึ้นแน่หลังจากนี้ จะมีคนย้ายเข้า จะมีคนย้ายออก แต่นั่นคือเรื่องของอนาคต เวลานี้ขอเพียงเขาและทีมของเขายังรักษาความสม่ำเสมอต่อไปได้เรื่อย ๆ ฤดูกาลนี้ก็น่าจะเป็นฤดูกาลที่ชวนจดจำไม่น้อยเลยสำหรับเดอะค็อป
11 เกมในลีก.. 17 เกมในทุกรายการ ทุกอย่างยังผ่านไปได้ด้วยดี เทอมแรกผ่านไปแล้ว เทอมสองก็ผ่านไปแล้ว หลังฟีฟ่าเดย์รอบนี้ เทอมสามจะรอเขาอยู่ด้วยคู่แข่งอย่าง เรอัล มาดริด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นิวคาสเซิ่ลที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค และเอฟเวอร์ตันที่กูดิสัน พาร์ค
จากคำถามสู่การยอมรับ อาร์เน่อ ชล็อต รู้จักสภาพแวดล้อมต่าง ๆ มากขึ้น และเช่นเดียวกัน เราก็ได้รู้จักเขามากขึ้นด้วย..
ตังกุย