การเติบโตของ อาร์เซน่อล จากความเสียดายที่เอติฮัด

การเติบโตของ อาร์เซน่อล จากความเสียดายที่เอติฮัด
อาร์เซน่อลเคยแพ้แมนซิตี้ 15 จาก 16 เกมที่พบกัน..

เป็นสถิติที่ไม่น่าเชื่อ แต่ก็เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ มันเป็นสถิติในยุคที่ ทีมเรือใบสีฟ้า อยู่ในมือของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ขณะที่ อาร์เซน่อล เข้าสู่ช่วงรอยต่อ อาร์แซน เวนเกอร์, อูไน เอเมรี่ และ มิเกล อาร์เตต้า (เฟรดริก ลุงเบิร์ก ขัดตาทัพ 6 เกมช่วงธันวาคม 2019)

ภาพที่แฟนบอลไม่เคยเห็นก็ได้เห็น จากที่เคยผูกปีชนะ เปลี่ยนมาเป็นผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แล้วก็มาเป็นผูกปีแพ้

ในวันที่กลุ่มทุนจากอาบูดาบีเริ่มต้นนับหนึ่งที่อีสต์แลนด์ส แมนซิตี้ มีสถิติ แพ้ อาร์เซน่อล 18 จาก 22 เกมในพรีเมียร์ลีก

ในจำนวนนั้นมีการแพ้กราวรูด 11 นัดติดต่อกันรวมอยู่ด้วย

แพ้ในลีกต่อคู่แข่งทีมเดิม 11 นัดติดต่อกัน.. 

กับบอลถ้วยที่เจอกันในลีก คัพรอบสามฤดูกาล 2004/05 ก็ยังปราชัย ทำให้สถิติทุกถ้วยทุกรายการที่เจออาร์เซน่อลในยุคพรีเมียร์ลีกก่อนการเทกโอเวอร์เมื่อปี 2008 ของซิตี้คือการแพ้ 19 จาก 23 เกม และ 12 ใน 19 นัดที่แพ้เกิดขึ้นติดต่อกัน

เสมอได้ 3 หน และชนะเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้นจากลูกจุดโทษของ โจอี้ บาร์ตัน ช่วงต้นฤดูกาล 2006/07

ใช้คำว่าลูกไล่คงไม่ผิดนัก ถ้าฤดูกาลไหนแมนซิตี้ ประคองตัวได้เล่นในพรีเมียร์ลีกไม่ตกชั้นไปเสียก่อน.. 6 คะแนนในแต่ละซีซั่นต้องมีสำหรับทีมปืนใหญ่

เกมที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนดุลระหว่างทั้ง 2 ทีมอาจจะเป็นเกมที่ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ โหม่งทำประตูให้ซิตี้นำ 3-1 แล้ววิ่งร้อยเมตรไปสไลด์เข่าฉลองประตูต่อหน้ากองเชียร์อาร์เซน่อลก่อนชนะ 4-2 เมื่อเดือนกันยายนปี 2009 นั่นล่ะครับ

เพราะมันไม่ใช่เพียงการเอาชนะอาร์เซน่อลได้เท่านั้น แต่เป็นการประกาศตัวในเชิงสัญลักษณ์ด้วย

อดีตนักเตะอาร์เซน่อลทำประตูใส่อาร์เซน่อล ย้ำชัยเหนือทีมปืนใหญ่เป็นเกมที่ 2 ติดต่อกันใน ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ สเตเดี้ยม ภายหลังการเทกโอเวอร์ (เกมแรกที่พบกันหลังเทกโอเวอร์คือฤดูกาล 2008/09 ซิตี้ถล่มเดอะกันเนอร์ส 3-0 จากประตูของ สตีเฟ่น ไอร์แลนด์, โรบินโญ่ และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ก่อนจะไปแพ้ 0-2 ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม)

หลังจากนั้น ไม่เพียงซิตี้จะเริ่มเก็บผลการแข่งขันที่ดีในการพบกับอาร์เซน่อลได้มากขึ้นเท่านั้น พวกเขายังสร้างความเจ็บช้ำให้เหล่ากูนเนอร์สด้วยการดึงนักเตะทีมปืนใหญ่ไปร่วมทัพอีกหลายคนทั้ง อเดบายอร์, กาแอล กลิชี่, โคโล่ ตูเร่, บาการี่ ซาญ่า และ ซามีร์ นาสรี่

กระทั่ง ปาทริค วิเอร่า ตำนานแห่งถิ่นไฮบิวรี่ที่หลังจากไปผจญภัยในอิตาลีกับ ยูเวนตุส และ อินเตอร์ มิลาน แล้วก็ยังกลับมาเล่นในอังกฤษและแขวนสตั๊ดกับ แมนซิตี้

ถูกพรากไปทั้งคะแนนที่เคยเป็นเหมือนของตาย และเสียไปทั้งนักเตะที่ยังคงเป็นกำลังสำคัญ

ตัวเองอ่อนกำลังลง ได้แต่มองเห็นเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ

จากที่เคยชนะแบบผูกปีก็เริ่มติดขัด มาๆ หาย ๆ กะปริดกะปรอย รู้ตัวอีกทีทุกอย่างก็พลิกผัน

คำว่าลูกไล่ระหว่างการเจอกันถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง แต่ในความหมายที่เปลี่ยนไปแล้ว..

ผมต้องตรวจทานดูข้อมูลถึง 3-4 รอบถึงจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง นับตั้งแต่ กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุมทีมแทน มานูเอล เปเยกรินี่ เมื่อปี 2016 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยมีสถิติชนะอาร์เซน่อล 15 จาก 16 เกมจริง ๆ

รู้ล่ะว่าใช่ มั่นใจว่าเหนือกว่าและชนะกันมาตลอด แต่ไม่เคยเอะใจว่ามันจะมากขนาดนั้น

หลังจากชนะ-เสมอ-แพ้ อย่างละเกมใน 3 นัดแรกที่เจอกัน อาร์เซน่อลก็พังพาบแบบยาว ๆ ในโปรแกรมที่พบทีมเรือใบสีฟ้ายุค เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

ฤดูกาล 2017/18

แพ้ 0-3 (เหย้า)

แพ้ 1-3 (เยือน)

แพ้ 0-3 (สนามเวมบลีย์ ลีกคัพ นัดชิงชนะเลิศ)

ฤดูกาล 2018/19

แพ้ 0-2 (เหย้า)

แพ้ 1-3 (เยือน)

ฤดูกาล 2019/20

แพ้ 0-3 (เหย้า)

แพ้ 0-3 (เยือน)

ชนะ 2-0 (สนามเวมบลีย์ เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ)

ฤดูกาล 2020/21

แพ้ 0-1 (เหย้า)

แพ้ 0-1 (เยือน)

แพ้ 1-4 (เยือน ลีกคัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย)

ฤดูกาล 2021/22

แพ้ 1-2 (เหย้า)

แพ้ 0-5 (เยือน)

ฤดูกาล 2022/23

แพ้ 1-3 (เหย้า)

แพ้ 1-4 (เยือน)

แพ้ 0-1 (เหย้า เอฟเอ คัพ รอบสี่)

6 ฤดูกาลเต็ม ๆ ที่ อาร์เซน่อล แพ้ แมนซิตี้ แบบไป/กลับในลีก ไม่มีแต้มติดมือทั้งเกมเหย้า/เกมเยือน แปรสภาพจากทีมที่เคยไล่ตบสนุกเท้าในยุคทศวรรษ 1990 ต่อเนื่อง 2000 ไปเป็นทีมที่ถูกเรือใบสีฟ้าสอนบอลทุกครั้งที่เจอกัน

ไม่เจอบอล เสียบอล โดนยิง.. ไม่เจอบอล เสียบอล โดนยิง..

ไม่เจอบอล เสียบอล.. แล้วก็โดนยิง..

แพ้ 1-3 สามครั้ง แพ้ 0-3 สี่ครั้ง แพ้ 1-4 สองครั้ง แพ้ 0-5 อีกครั้ง..

แพ้ แพ้ และแพ้..

ถามว่าเจ็บปวดไหม.. คงต้องถามกลับว่าจะถามทำไม กับทีมที่เคยไล่ถล่มสนุกเท้า ชนะ 11-12 เกมติดกลับมาเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนเสียเองทำไมถึงจะไม่เจ็บปวด

ใน 15 จาก 16 เกมที่แพ้แมนซิตี้ของเป๊ป อาร์เซน่อลแพ้ 7 เกมติด คั่นด้วยชัยชนะในเอฟเอ คัพรอบตัดเชือก 2019/20 (อาร์เตต้าพาทีมเข้าไปคว้าแชมป์) แล้วจากนั้นก็แพ้ 8 เกมติด

ในเวลาแค่หนึ่งทศวรรษ เกมระหว่างคู่นี้เปลี่ยนแปลงแบบกระชากกระชั้น

จากที่เคยชนะ 12 นัดติดต่อกันและชนะ 19 จาก 23 เกม มาเป็นแพ้ 7 นัดกับ 8 นัดติดต่อกันและแพ้ 15 จาก 16 เกม

สมดุลสวิงไปกลับรุนแรงจริง ๆ สำหรับ 2 ทีมนี้

กระทั่งในยุคของ มิเกล อาร์เตต้า เองก็ตาม แม้จะเป็นคนพาทีมเอาชนะซิตี้ในเอฟเอ คัพปี 2020 แต่เขาก็ยังต้องเจอเกมเจ็บปวดมากมายจากคู่ปรับทีมนี้

เกมที่แพ้ 0-5 ช่วงต้นฤดูกาล 2021/22 ยังตามมาด้วยเสียงก่นด่าขับไล่จากแฟนปืนใหญ่อยู่เลยด้วยซ้ำ

หากก็นั่นล่ะครับ ไม่มีอะไรจีรังหรอก ชนะในวันนี้ไม่ได้หมายความว่าจะชนะเสมอไป แพ้ในวันนี้ก็ไม่ได้หมายความคุณจะเป็นผู้แพ้ตลอดไป

หลังจากผ่านช่วงเวลายากลำบากและต้องอดทนอย่างหนักในการวางระบบ กำหนดทิศทาง ตั้งมาตรฐานทัศนคติ หานักเตะและทีมงานที่เหมาะสมมาร่วมทีม อาร์เตต้าก็เริ่มพาอาร์เซน่อลมุ่งหน้าสู่ความท้าทาย

ทีมปืนใหญ่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละปี โดยเฉพาะ 2 ฤดูกาลหลังสุดที่ก้าวขึ้นไปถึงตำแหน่งรองแชมป์ทั้ง 2 ครั้ง

ฤดูกาล 2022/23 อาร์เซน่อลยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงอันดับหนึ่งได้แล้ว แต่ยังแพ้แมนซิตี้ ไป/กลับเหมือนเดิม ถูกยิงพรุนเหมือนเดิม (2 เกมโดนทะลวงไป 7 ลูก)

เกมที่ไปเยือนแล้วแพ้ซิตี้ 1-4 ในนัดที่ 33 ของฤดูกาลคือจุดพลิกผันสำคัญที่ทำให้อาร์เซน่อลเสียตำแหน่งจ่าฝูงในเวลาต่อมาและจบฤดูกาลด้วยการเป็นรองแชมป์ อาจจะเป็นเพียงความรู้สึกชินชา ก็มันเกิดขึ้นบ่อยจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

แต่ในวันนั้นไม่มีใครเอะใจเลยว่านั่นคือความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายที่อาร์เซน่อลมีต่อแมนซิตี้.. นับจนถึงตอนนี้

4 เกมติดต่อกันแล้ว.. 3 เกมลีก 1 เกมคอมมิวนิตี้ชิลด์

ฤดูกาลที่แล้วอาร์เซน่อลยกระดับตัวเองขึ้นไปอีก แม้ผลลัพธ์จะยังเป็นแค่พระรองเหมือนเดิมแต่พวกเขาลุ้นแชมป์ได้ยาวขึ้น ชนะมากขึ้น แพ้น้อยลง ยิงได้มากขึ้น เสียประตูน้อยลง เก็บแต้มได้มากขึ้น และสถิติดีกว่าเดิมทั้งเกมเหย้า/เกมเยือน

ตารางคะแนนไม่เคยโกหกใคร มันคือสิ่งที่จับต้องได้เป็นรูปธรรมที่สุด แต่ถึงกระนั้นสำหรับอาร์เซน่อลแล้วมันก็ยังมีตัวแปรอีกเรื่องที่ชี้วัดพัฒนาการของพวกเขาได้

นั่นคือการเล่นกับแมนซิตี้..

ฤดูกาล 2022/23 กับ 2023/24 อาร์เซน่อลเป็นรองแชมป์เหมือนกันแต่ในรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน..

นั่นคือเป็นรองแชมป์โดยแพ้ซิตี้ไป/กลับ กับเป็นรองแชมป์ที่ไม่แพ้และไม่เสียประตูให้ทีมเรือใบสีฟ้าเลย

จากสถิติเตะ 12 แพ้ 12 ยิง 5 เสีย 33 ตลอด 6 ฤดูกาลที่พบกับ แมนซิตี้ ของกวาร์ดิโอล่าในพรีเมียร์ลีก

จากการแพ้ไป/กลับ ยิง 2 เสีย 7 ในฤดูกาลรองแชมป์ 2022/23

อาร์เซน่อลเก็บ 4 คะแนนจากซิตี้ในฤดูกาล 2023/24 ด้วยผลงานชนะ 1-0 ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม และเสมอ 0-0 ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม

ขณะที่เกมล่าสุดในยกแรกของซีซั่น 2024/25 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อาร์เซน่อลเกือบจะทำได้อยู่แล้วกับการปลดแอกครั้งยิ่งใหญ่.. บุกเก็บ 3 คะแนนถึงถิ่นซิตี้ได้เป็นครั้งแรกในยุคเป๊ป

ทบทวนความรู้สึกของตัวเองดูอีกที.. แฟนบอลอาร์เซน่อลกำลังรู้สึกอย่างไรกันบ้างนะ

แน่นอนครับ.. มันคงเป็นความภาคภูมิใจ การได้เห็นนักเตะของตัวเองสู้ยิบตาไม่มีถอยอย่างนี้ย่อมมีแต่ความภาคภูมิใจ

สองคะแนนที่หายไปจากการถูกบดตีเสมอนาที 90+8 อาจจะน่าเสียดายก็จริงแต่เห็นการยืนหยัดสู้กับแชมป์อย่างถวายหัว ต้านทานเกมรุกขึงพรืดอันโหดร้ายของซิตี้ได้ถึงขนาดนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจหรือเห็นแต่เรื่องแย่ ๆ เลย

คนเป็นแฟนบอลคงไม่ขออะไรมากไปกว่านี้ แค่ได้เห็นนักฟุตบอลสู้ตายเพื่อตราสโมสรก็พอใจแล้ว

จากวันที่เคยคอตก ลงเตะกับแมนซิตี้ ทีไรเหมือนเอาคอไปพาดเขียง เล่นไปก็เหมือนเป็นเด็กถูกผู้ใหญ่รังแก จะได้คะแนนจากพวกเขาแต่ละทีช่างยากเย็นแสนเข็ญ

มาวันนี้ ลองสังเกตตัวเองกันอีกครั้ง.. กูนเนอร์สทั้งหลายมาถึงวันที่ตัวเองรู้สึกเสียดายที่ไม่ชนะแมนซิตี้ ในถิ่นสีฟ้าแล้ว

จากวันที่กระทั่งเล่นในบ้านยังรับสภาพ ทำใจรอแพ้ มาสู่วันนี้ที่ต้องเสียดายกับการไม่ชนะในเอติฮัด สเตเดี้ยม

มันอาจเป็นพัฒนาการที่น่าพึงพอใจที่สุดก็ได้นะครับสำหรับแฟนบอลทีมปืนใหญ่

อาร์เซน่อลก้าวเดินมาได้ไกลมากจริง ๆ

เหลียวกลับไปดูอีกที มองไม่เห็นจุดเริ่มต้นอันสับสนอลหม่านแล้ว หันกลับมาแล้วมองไปข้างหน้าอีกครั้ง ทีม ๆ นี้มีแต่อนาคตและความภาคภูมิใจ


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport