สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล ตอนนี้ อาจเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของสโมสร เมื่อ เอฟเอสจี เตรียมสละการเป็นเจ้าของเพื่อเปลี่ยนถ่ายให้คนใหม่เข้ามา
3-4 ปีหลัง ลิเวอร์พูล ต่อกรกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บนตารางคะแนน พรีเมียร์ลีก ได้ก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องเม็ดเงินไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะสู้ได้
"ไม่มีใครที่สามารถแข่งขันกับ แมนฯ ซิตี้ ได้หรอก" เจอร์เก้น คล็อปป์ กล่าวก่อนเกมที่เขาพาทีมคว้าชัยเหนือ "เรือใบสีฟ้า" เมื่อเดือนตุลาคม
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะนั้นตามมาด้วยความพ่ายแพ้แบบไม่ควรเกิดขึ้น 2 นัดติดต่อ น็อตติ้ง ฟอเรสต์ กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งมันส่งผลต่อการทำอันดับเพื่อคว้าโควต้า แชมเปี้ยนส์ ลีก เข้าเต็ม ๆ
มันถือเป็นเรื่องร้ายแรงเลยนะครับ เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ว่า ลิเวอร์พูล ไกลห่างออกไป จากซีซั่นที่แล้วที่ได้ลุ้นแชมป์ 4 รายการภายในเวลาแค่ 180 นาที
แต่จะเป็นเรื่องร้ายแรงมากกว่านี้อีก หากทีมไม่ได้เล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า เพราะมันจะส่งผลกระทบด้านการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และในขณะที่ "เรือใบสีฟ้า" ของท่าน ชีค มานซูร์ เปิดผลประกอบการปีที่แล้ว แสดงให้เห็นถึงรายได้และกำไรแบบก้าวกระโดดจนเป็นสถิติสโมสร ลิเวอร์พูล เองก็มีข่าวออกมาว่า เอฟเอสจี พร้อมจะขายสโมสรหากได้ตัวเลขอันน่าพอใจ
การบริหารงานระหว่าง 2 เจ้าของทีม ต่างกันตามที่เรารับรู้ได้คือ ลิเวอร์พูล มุ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าที่จะกว้านซื้อผู้เล่นผิดกับ แมนฯ ซิตี้
เอฟเอสจี ลงทุนเกี่ยวกับเรื่องนอกสนามจนทำให้สโมสรสามารถลืมตาอ้าปากได้ ทั้งการขยายที่นั่ง แอนฟิลด์ ด้วยการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ เช่นเดียวกับการพัฒนาศูนย์ฝึกซ้อม เคิร์กบี้
ทว่าในเรื่องของตลาดซื้อ-ขาย มีเพียงดีลของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ และ อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่พวกเขาทุ่มเงินจนเป็นสถิติโลก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหลายคนก็มองว่าเป็นเพราะนำเงินจากการขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ มาใช้มากกว่าที่ควักกระเป๋าตัวเอง
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว หาก คล็อปป์ ไม่สามารถพาทีมไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีหน้าได้ มันก็จะส่งผลกระทบต่อสโมสร ซึ่งสถานการณ์แบบนี้เคยเกือบขึ้นมาแล้วเมื่อสองฤดูกาลก่อนตอนที่ "หงส์แดง" เจอวิกฤติเรื่องผู้เล่นบาดเจ็บ
และการดิ้นรนต่ออุปสรรคในครั้งนี้ของ ลิเวอร์พูล มีความต่างกันในแบบมีปัจจัยเพิ่มขึ้นมา นั่นคือผู้เล่นอายุเพิ่มมากขึ้น 2 ปีซึ่งทีมชุดนี้เป็นหนึ่งในทีมที่มาอายุเฉลี่ยมากที่สุดในลีก
แล้วหากพลาดตั๋ว แชมเปี้ยนส์ ลีก จะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เมื่อคิดในแง่การสร้างทีมใหม่ และคงอาจใช้เวลาอีกนานกว่าจะฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง
เอฟเอสจี ทราบถึงเรื่องนี้ดีแน่นอน แม้จะเป็นไปได้ว่าการที่พวกเขาขายทีมในตอนนี้เป็นเพราะสโมสรกำลังต้องการเงินเพื่อทำทีมอย่างหนัก และพวกเขาเองก็คงไม่อยากจ่ายเงินก้อนโตที่ว่า
ปัจจัยที่ดูมีความเป็นไปได้มากกว่าก็คือการที่ตอนนี้ ลิเวอร์พูล กำลังมีมูลค่าสูงมากเป็นประวัติศาสตร์ และมันอาจเปลี่ยนไปอีกแง่หากทีมไม่ได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก
สำหรับ จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ และนักธุรกิจคนอื่น ๆ ของ เอฟเอสจี นี่ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของพวกเขามาตลอด
บรรดาเจ้าของทีม ลิเวอร์พูล ไม่เคยเปิดคลังสโมสรแล้วเอามาเงินมาใช้เพื่อผลประโยชน์ตัวเองก็จริง แต่ในทางกลับกัน มีเรื่องที่จะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่านั้น
ซึ่ง เฮนรี่ ก็รู้ดีว่าการที่เขาดำเนินการได้ดีทั้งเรื่องในและนอกสนาม เขาก็จะทำกำไรได้มหาศาลในตอนที่เขาขาย ลิเวอร์พูล ให้คนอื่น
ตั้งแต่ปี 2010 ที่ เฮนรี่ เข้ามาเทคโอเวอร์ เขาพูดมาตลอดในเรื่อง -การสร้างรายได้จากสินทรัพย์- จากการลงทุน 300 ล้านปอนด์ เวลาผ่านไป 12 ปี สโมสรแห่งนี้เติบโตจนมีมูลค่าประเมินจาก ฟอร์บส์ ที่ราว ๆ 3.9 พันล้านปอนด์
และแน่นอนว่า เฮนรี่ น่าจะทำเงินได้มากโขไม่ว่าจะขายให้กับใครก็ตาม
ทุกวันนี้การเป็นเจ้าของสโมสรใน อังกฤษ ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเรื่องหน้าที่ของพลเมืองอีกต่อไป
ถ้าคุณมีเงินแล้วใช้มัน คุณก็จะไม่ถูกต่อต้าน แต่ถ้าคุณมีเงินแล้วใช้จ่ายไม่เยอะ หรือไปเลือกใช้แบบคิดไตร่ตรองถี่ถ้วนหลายขั้นตอน มันก็มีโอกาสที่คุณจะโดนตำหนิอย่างหนัก
ถึงแม้ เอฟเอสจี เคยดำเนินการผิดพลาดไปบ้างจนส่งกระทบต่อจิตใจ "เดอะ ค็อป" แต่ถ้า เฮนรี่ แอนด์ โค แยกทางกับทีมตอนนี้ พวกเขาจะถูกจดจำในฐานะเจ้าของทีมที่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลยุคใหม่
ตอนที่ เอฟเอสจี เข้ามาเทคโอเวอร์ ลิเวอร์พูล อยู่ในโซนตกชั้น และจากนั้นก็หาทางแก้ปัญหาเรื่องสนาม แอนฟิลด์ แบบทันท่วงที, ดึงกุนซือระดับโลกเข้ามาทำงาน ซึ่งคนคนนั้น ต่อมาสามารถสร้างทีมจนถึงขึ้นเป็นทีมระดับโลก มีศักยภาพดีพอที่จะคว้าโทรฟี่รายการใหญ่ครบทุกรายการ
ในบางมุม ลิเวอร์พูล มีสภาพเหมือนตอนปี 2003 หรือตอนที่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาฮุบสโมสร เชลซี
ตอนนั้น ลิเวอร์พูล มีโครงสร้างที่ให้คนกลุ่มเล็ก ๆ มีอำนาจภายในสโมสร ขณะที่คู่แข่งรายอื่น ๆ มีด้านการทำธุรกิจที่ดีกว่า
ต้องยอมรับว่าแม้ว่า เอฟเอสจี จะเข้ามาบริหารสโมสร แต่พวกเขาก็ยังตามหลังทีมระดับ แมนฯ ซิตี้ อยู่เยอะในเรื่องของเม็ดเงิน
ซึ่งหาก ลิเวอร์พูล จะไปยังจุดนั้น นั่นหมายความว่า ลิเวอร์พูล ต้องให้อภิมหาเศรษฐีเข้ามาเทคโอเวอร์เพื่อให้ทีมในยุคของ คล็อปป์ มีลุ้นแชมป์รายการใหญ่ ๆ รวมถึงสร้างทีมใหม่ต่อไปได้
แต่คำถามคือแฟนบอล ลิเวอร์พูล และตัว คล็อปป์ เอง จะยอมรับแนวทางการบริหารทีมแบบนั้นได้หรือเปล่า หลังจากที่พวกเขาเคยตำหนิวิถีของ ซิตี้ มายาวนาน?
นี่ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกลืนน้ำลายตัวเองมากกว่าจะรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน
HOSSALONSO