ฝนตกแต่เช้ากว่าจะหยุดก็ปาไปเกมใกล้จบ เก้าอี้หลายตัวถูกปล่อยให้ว่างเพราะสกอร์ขาดลอยไปแล้วโดยเฉพาะทางฝั่งทีมเยือนที่คงเหลือ เอฟเวอร์โตเนี่ยน ใจสะออนหลักร้อยเท่านั้นที่ยังยืนหยัดไม่ไปไหน
นาทีนั้นเองที่ทำให้ผมคิดถึงคำพูดของเพื่อนนักข่าวจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ที่เดินทางลงมาลอนดอนตามหน้าที่ "มีบางสิ่งที่ไบร์ทตันมีแต่เอฟเวอร์ตันไม่มี..."
พรีเมียร์ลีกคู่แรกที่ เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม แลกหมัดกันสนุก เรียกว่าใครชนะก็ได้แต่มันเป็นอีกชิ้นหลักฐานถึงแนวทางสร้างทีมที่ยอดเยี่ยมของสโมสรเล็กๆจากเมืองที่โด่งดังทางการท่องเที่ยวติดทะเล มันคือโมเดลฟุตบอลที่น่าศึกษา
6แต้มเต็มจาก2เกม สัปดาห์ก่อนบุกถล่มเอฟเวอร์ตัน 3-0 โดยมาเมื่อวันเสาร์ก็เฉือนแมนฯยูไนเต็ด 2-1 ได้ประตูชัยตอนทดบาดเจ็บซะด้วย
โอเค พวกเขาอาจจะไม่ได้ขึงเกมชนะแบบวันแมนโชว์ ว่ากันตามตรงทั้งสองเกมก็สามารถแพ้ได้เมื่อพิจารณาจากโอกาสของคู่แข่ง อีกนั่นแหละฟุตบอลก็แบบนี้ อยู่ที่จังหวะด้วย อยู่ที่โชคชะตาก็ด้วย ถึงกระนั้นปัจจัยที่จะชี้ชัดต่อยอดในระยะยาวได้อยู่ตรงวิธีการทำทีมต่างหาก
จากบนลงล่าง
จากเจ้าของไปถึงเจ้าหน้าที่ดูแลสนาม
ข้อแรกเลยอย่าลืมว่าในทุกๆซีซั่นไบร์ทตันมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แทบตลอด ไม่เสียโค้ชไปก็ต้องขายนักเตะตัวหลักออกไป
คำถามง่ายแต่ตอบยากก็คือ"พวกเขาทำอย่างไรให้ทีมรักษาสมดุลเอาไว้ได้?"
จาก เกรแฮม พอตเตอร์ มา โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ จนถึงคนปัจจุบัน ฟาเบียน เฮอร์เซเลอร์ กุนซือหนุ่มวัยแค่ 31 ปี จึงเหมือนหน้าต่างบานหนึ่งที่มองทะลุไปจะเจอสโมสรลูกหนังหนึ่งที่กลายเป็นต้นแบบให้กับหลายต่อหลายทีม
ถ้าพวกเราทำได้ คุณก็สามารถทำได้...
การที่บอร์ดไบร์ทตันตัดสินใจดึง เฮอร์เซเลอร์ เข้ามาแทน เด แซร์บี้ เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ก็ว่าได้ ก็โค้ชที่มีประสบการณ์จริงจังราวสองปีเท่านั้นกับซังต์ เพาลีในลีกาสองของเยอรมัน ทว่าก็ใช่แค่เห็นผลงานพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นบุนเดสลีกาได้เท่านั้น ความจริงแล้วมันมีการเฝ้าติดตามดูมาต่อเนื่องรวมถึงปลายปีที่ผ่านมา เฮอร์เซเลอร์ ก็เคยมาเยี่ยมชมการซ้อมของไบร์ทตันด้วย
เคมีที่ตรงกันจึงทำให้ต่างปรับตัวเข้าหากันเร็ว
มีเรื่องเล่าว่าเฮอร์เซเลอร์เองก็มักเปิดวีดีโอเกมการเล่นของไบร์ทตันยุคเด แซร์บี้ให้กับนักเตะ ซังต์ เพาลี ดูประจำ เหตุผลที่เขาไม่เลือก แมนฯซิตี้, อาร์เซน่อล หรือ ลิเวอร์พูล ก็เพราะเขาอยากได้ทีมขนาดคล้ายกันที่สื่อสารเข้าถึง
ไม่ได้มีเงินมากมายให้ใช้
ไม่ได้มีซูเปอร์สตาร์ให้เลือก
แน่นอนสไตล์ของโค้ชรุ่นใหม่ก็เน้นไปการครองบอล, ผ่านบอล, เพรสสูงและยามที่ไม่มีบอลก็ต้องพร้อมจู่โจมเร็วเมื่อตัดบอลได้
สามซัมเมอร์ที่ผ่านมาทีมตรานกนางนวลได้ปล่อยผู้เล่นอย่าง เบน ไวท์, มาร์ค กูกูเรลย่า, อีฟส์ บิสซูม่า, อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์, โรเบิร์ต ซานเชซ ไปจน มอยเซส ไกเซโด้ น่าทึ่งที่นอกจากได้งบเข้าคลังร่วม 320 ล้านปอนด์แล้ว ทีมก็คงรักษามาตรฐานกับแนวทางทำทีมได้ดี
มีบางทีมจำใจต้องขายแกนหลักออกเพราะปัญหาการเงิน ยกตัวอย่างก็เอฟเวอร์ตันที่ไฟเขียวให้ ริชาร์ลิซอน, แอนโธนี่ กอร์ดอน หรือว่า อมาดู โอนาน่า ย้ายออก
ตลกที่ 2-3 ปีมานี้ ไบร์ทตัน ไม่ต้องมาหนีตกชั้นหัวซุกหัวซุน ตรงกันข้ามยังได้ไปเตะบอลยุโรปด้วย
เครดิตทุกอย่างต้องยกให้วิธีการสร้างทีมของโทนี่ บลูม เจ้าของทีมที่ตั้งแผนกวิเคราะห์ข้อมูลนักเตะขึ้นมาเฉพาะโดยยังได้จ้างแมวมองกระจายไปทั่วโลก ไม่เฉพาะในยุโรป นั่นเองทำให้พวกเขาถึงมักซื้อตัวที่น้อยคนรู้จักมาเจียระไนกลายเป็นเพชรน้ำงาม
ซัมเมอร์นี้นโยบายมีการปรับเปลี่ยนตรงที่ได้ทุ่มงบเสริมตัวเข้าใกล้หลัก 200 ล้านปอนด์ไปแล้ว
แมตต์ โอไรลี่ย์ กับ เฟร์ดี้ คาดิโอกลู จาก เซลติก และ เฟเนร์บาห์เช่ ตามลำดับจะเข้ามาเปิดตัวเป็นสองสมาชิกล่าสุดเร็วๆนี้ เมื่อรวมกับกลุ่มที่ทยอยเข้ามาก่อนหน้าจึงทำให้น่าสนใจว่าไบร์ทตันชุดนี้จะไปได้ถึงไหนภายใต้เฮอร์เซเลอร์
ที่ชัดเจนก็วิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างทีมระยะยาว
จาก 7 ตัวใหม่ที่มาจาก7ชาติที่ต่างกัน มีถึง 6 ในนั้นที่อายุระหว่าง 19-22ปี มีเพียงแค่แมตส์ เวียฟเฟอร์เท่านั้นที่แก่สุดบนวัย24ปี!!!
ใช่ มันก็คงไม่ใช่ว่าทุกคนที่เข้ามาจะก้าวมาเป็นตัวจริงเลย จากสองเกมที่ผ่านมาก็เรียกว่ายังเป็นทีมชุดเดิมจากปีที่ผ่านมาซะเยอะ ขณะเดียวกันก็มีบางคนเช่นอิบราฮิม ออสมันที่มาจากลีกเดนมาร์กได้ถูกปล่อยให้เฟเยนูร์ดยืมตัวไปเพาะบ่มกระดูก
4-2-4เป็นสูตรที่เฮอร์เซเลอร์ใช้ (ตอนตั้งรับปรับเป็น4-4-2) โดยสี่ตัวรุกประกอบด้วย คาโอรุ มิโตมะ, ยานคูบา มินเทห์, แดนนี่ เวลเบ็ค และ เชา เปโดร
ไบร์ทตันจึงไม่ใช่แค่กวาด 6 แต้มเต็มเท่านั้น พวกเขายังมีสไตล์ที่เอนเตอร์เทนแฟนบอลไปด้วย(สองเกมมีค่าเฉลี่ยยิง12.5ครั้ง ค่าxG3.94)
"พวกเรายังไม่ได้ใช้ตัวที่เซ็นเข้ามาใหม่มากอะไร มันหมายถึงว่าตัวที่มีอยู่แล้วมีคุณภาพยอดเยี่ยม เรากำลังสร้างทีมใหม่ขึ้นมาเพื่อชนะในเกม อย่างแรกเลยเราต้องทำให้ตัวที่มาใหม่จูนเข้ากับทีมให้ได้โดยเร็ว มันไม่ได้ง่ายนักเพราะพวกเขามาจากลีกอื่นแต่หากทำสำเร็จเราก็จะมีทีมที่แข็งแกร่งกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย"เฮอร์เซเลอร์พูดไว้หลังเกมกับผีแดง
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ไบร์ทตันกับเอฟเวอร์ตันมีสถานการณ์ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวเอง
"ไก่ป่า"