เอียน แกรห์ม อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ ลิเวอร์พูล ระบุ ตอนเซ็น ดาร์วิน นูนเญซ พวกเขายังเสริมทัพแบบที่เน้นจากข้อมูลเรื่องฟอร์มเป็นหลัก หลังจาก นูนเญซ มีผลงานโดยรวมไม่น่าประทับใจเท่าไหร่
เอียน แกรห์ม อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ ลิเวอร์พูล กล่าวว่าพวกเขายังใช้แนวทางวิเคราะห์ข้อมูลเป็นอย่างดีในตอนที่เซ็นสัญญากับ ดาร์วิน นูนเญซ
ก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ อดีตผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล มีอำนาจในการจัดการทีมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นด้านการเสริมทัพ แต่นักเตะที่ "หงส์แดง" ดึงเข้ามาร่วมทีมในพักหลังมีหลายคนที่ทำผลงานได้ไม่คุ้มค่าตัว โดยที่ นูนเญซ เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากเขามีค่าตัวในเบื้องต้นที่ 64 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,816 ล้านบาท) จนทำให้มีการตั้งคำถามว่าอิทธิพลของ คล็อปป์ มันส่งผลให้ ลิเวอร์พูล เลิกใช้โมเดลการเสริมทัพที่ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นหลักหรือไม่
แกรห์ม เผยว่า "นูนเญซ เคยเล่นได้ดีตอนเจอกับ ลิเวอร์พูล และนั่นส่งผลกับหลายคน การที่เขากลายมาเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล มันไม่ได้ส่งผลเสียต่อใครทั้งนั้น สิ่งที่ยุ่งยากของ นูนเญซ ก็คือเขาเป็นนักเตะที่ต่างจาก ฟีร์มีโน่ และคำถามของผมก็คือ -เราจะเปลี่ยนสไตล์การเล่นหรือระบบของเราเพื่อเขารึเปล่า ? เขาดีพอที่อาจจะคุ้มค่าที่จะทำให้เราทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ หรือไม่ ?- มันเป็นสิ่งที่เราต้องเจอเป็นเวลาหลายปี"
"เราวิเคราะห์ นูนเญซ ด้วยการใช้กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเดียวกับที่ทำกับนักเตะคนอื่นๆ ผมอยากทำให้มั่นใจว่าทุกคนจะรู้ว่ามันจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากแค่ไหนกับการเอา นูนเญซ มาเล่นกับทีม อารมณ์มันจะประมาณว่า -เราจะทำให้เขาเล่นด้วยฟอร์มที่ดีที่สุดได้เหรอ ?-"
"ในหนังสือน่ะผมพูดเกี่ยวกับการแจ้งกับนักเตะแต่ละคนเพื่อทำให้พวกเขารู้ว่าบทบาทของแต่ละคนจะเป็นแบบไหน มันต่างจากการบอกว่าพวกเขาเล่นได้ดีรึเปล่า เรามีลิสต์รายชื่อนักเตะแบบว่า -เขาเก่งน่ะ แต่ไม่เหมาะกับ ลิเวอร์พูล- คนในลิสต์นั้นมีทั้งพวกฟูลแบ็กที่เก่งเกมรับ, กองหน้าตัวเป้า, ปีกที่โยนบอลเก่งๆ ฯลฯ แต่เราไม่ได้เล่นด้วยสไตล์นั้น"
"มันเห็นได้ชัดว่า นูนเญซ คือกองหน้าตามแบบฉบับของพวกเบอร์ 9 ผมคงจะไม่บอกหรอกว่าข้อมูลมันไม่ได้สื่อว่า นูนเญซ เป็นนักเตะสไตล์นั้น อารมณ์มันเหมือนกับว่า -ถ้าเราจะซื้อนักเตะคนนี้แล้ว เราก็ต้องเข้าใจว่านี่เป็นบทบาที่เรามองว่าเขาจะเล่นได้ดี และในขุมกำลังของเรามีที่ว่างให้กับเขารึเปล่า ?- และเมื่อคุณทุ่มเงินไปเยอะกับนักเตะคนใดคนหนึ่งแล้ว เขาก็ต้องได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเป็นธรรมดา สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือคุณซื้อนักเตะที่เป็นเพียงอะไหล่เข้ามาทั้งที่จริงๆ แล้วควรจะใช้เงินเหล่านั้นไปกับการซื้อนักเตะที่เก่งพอจะได้เป็นตัวจริง"