ลิเวอร์พูลคล้ายกำลังเมาหมัด

ลิเวอร์พูลคล้ายกำลังเมาหมัด
มองในแง่ดีที่สุด ฟุตบอลโลกที่กำลังจะมาถึงอาจเป็นประโยชน์กับลิเวอร์พูล..

ผลการแข่งขันที่ซิตี้ กราวนด์ เมื่อสัปดาห์ก่อน สำทับด้วยความปราชัยคาแอนฟิลด์เมื่อคืนที่ผ่านมาส่งผลให้ความวิตกกังวลกลับมาอีกครั้ง

นักวิจารณ์บางคนตั้งคำถามว่าหรือ Doubters กำลังจะกลับมาอีกครั้ง

การชนะมาสองเกมติดต่อกันเหนือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด รวมทั้งชัยชนะสวยงามเหนืออาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม เมื่อกลางสัปดาห์แทบจะกลายเป็นเรื่องไร้ความหมายไปเลยเมื่อมีความพ่ายแพ้ต่อทีมสองอันดับสุดท้ายของตารางเข้ามาร่วมด้วย

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมอันดับสุดท้าย

ลีดส์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับรองสุดท้าย

ทั้งสองแมตช์ต่างก็เป็นเกมที่ลิเวอร์พูลควรจะชนะอย่างยิ่ง เราว่ากันในเรื่องของโมเมนตัม การชนะเกมสำคัญเหนือเรือใบสีฟ้าและผ่านด่านทดสอบแรกด้วยสามคะแนนเหนือทีมขุนค้อนได้แล้ว มันจะเป็นการก้าวเดินที่ดีงามมากถ้าหากลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะฟอเรสต์ได้อีก

เช่นเดียวกัน การบุกไปถล่มอาแจ๊กซ์ถึง โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า ตีตั๋วเข้ารอบน็อกเอ๊าต์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แล้วทำให้ไม่ต้องพะวงมากเกินไปในเกมสุดท้ายกับนาโปลี มันก็ควรจะสานต่อด้วยการแก้ตัวในลีก เดินหน้าขยี้ ลีดส์ ยูไนเต็ด ต่อหน้ากองเชียร์ในแอนฟิลด์

ลิเวอร์พูลกลับทำไม่ได้ทั้งสองเกม.. ที่ดูเหมือนไม่ยากเกินไปที่จะทำมัน เพื่อการต่อยอดของตัวเอง

หากชนะฟอเรสต์ มันไม่เพียงทำให้ทีมเก็บ 9 คะแนนเต็มจากการชนะสามนัดติดต่อกันในลีกเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการเก็บชัยชนะในฐานะเกมเยือนเป็นครั้งแรกในซีซั่นอีกด้วย

เช่นเดียวกันหากอัดทีมยูงทองได้สำเร็จ มันก็จะเป็นการเรียกความเชื่อมั่นกลับมาและสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า เราไม่ได้ทำผิดพลาดแบบเดิมอีก

การแพ้ที่ซิตี้กราวนด์ทำให้อารมณ์คึกคักที่เริ่มฟื้นคืนอีกครั้งหดหู่ลงไปอีก เช่นเดียวกับการแพ้เกมล่าสุดที่แอนฟิลด์ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เสียสถิติไม่แพ้เกมเหย้าในลีกนับตั้งแต่ย้ายมาสวมชุดลิเวอร์พูล ยิ่งทำให้ความห่อเหี่ยวแผ่ซ่านหนักหน่วง

ไม่มีอารมณ์เบื่อหน่ายไหนจะมากเท่าการแพ้ทีมอันดับ 20 กับ 19 ติดต่อกันอีกแล้ว

ผลงานที่ไม่สม่ำเสมอ ปัญหาบาดเจ็บที่ยังตามเล่นงานเหมือนแกล้ง ความผิดพลาดทั้งรายบุคคลและรายทีมที่เกิดขึ้นให้เห็นเรื่อยๆ แทบทุกนัด การเสียประตูไปก่อนเป็นประจำ มันเหมือนไม่เคยหายไปเลยนับตั้งแต่ฤดูกาลเปิดฉาก

ทำท่าว่าจะหายไป แต่แล้วก็กลับมาใหม่ พอดูเหมือนว่าจะแก้ไขมันได้ ความหวังเริ่มกลับมา แฟนบอลพร้อมที่จะกระโจนไปข้างหน้าร่วมกับทีม การสะดุดหัวทิ่มก็กลับมาอีก

เวียนวนอยู่อย่างนี้เหมือนถูกวิญญาณชั่วร้ายตามหลอกหลอน

แน่นอนลิเวอร์พูลกำลังมีปัญหา ปัญหาใหญ่และรุงรังวุ่นวายเสียด้วย ทุกอย่างผิดแผนไปจากที่วางไว้หมด

ปัญหาบาดเจ็บยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้าย ขุมกำลังของทีมไม่ได้แย่ ทุกคนอยู่ในแผนการใช้งานของ เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่การเตะหนึ่งเกมเจ็บสองคน เตะสองเกมเจ็บสามคน หรือซ้อมหนึ่งมื้อเจ็บเพิ่มอีกหนึ่งคนอย่างที่เป็นมันเป็นอุปสรรคในการทำงานจริงๆ

เกมปราชัยที่ซิตี้กราวนด์ เคอร์ติส โจนส์ ต้องลงสนามเป็นตัวจริงโดยไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน เหตุเพราะ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ที่ต้องลงเล่นเกิดอาการหูอักเสบแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ส่วนเกมที่รับมือลีดส์ซึ่งใช้รูปแบบการเล่น 4-4-2 ไดมอนด์ มี โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ยืนตัวรุกหลังคู่หน้า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ ดาร์วิน นูนเญซ คล็อปป์ยังพูดเองว่าเราต้องจัดทีมแบบนี้เพราะแทบไม่เหลือตัวเลือกเกมรุกแล้ว

มันอาจไม่ส่งผลอะไรนักเมื่อดูจากรายชื่อนักเตะตัวจริง แต่มีผลแน่นอนเมื่อคล็อปป์ต้องการแก้เกมในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เมื่อทีมไม่มีตัวเลือกที่เขาต้องการรออยู่ข้างสนามให้เรียกใช้

หลุยส์ ดิอาซ ดีโอโก้ โชต้า อาร์ตูร์ เมโล่ โฌแอล มาติป นาบี เกอิต้า..

เรื่องบาดเจ็บเป็นสิ่งที่พูดยาก ลิเวอร์พูลไม่ได้มีปัญหาบาดเจ็บระนาวอย่างนี้ทุกปี เอาเข้าจริงพวกเขาเพิ่งจะได้เจอกับมันมาแค่ 2-3 ครั้งคือในฤดูกาลป้องกันแชมป์ที่เริ่มจาก เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เจ็บหนัก แล้วก็ช่วงต้นฤดูกาลที่แล้ว รวมทั้งฤดูกาลนี้

ช่วงต้นฤดูกาลก่อนทีมมีปัญหานักเตะแดนกลางเจ็บหลายคน เพียงแต่ไม่ถึงกับเข้าขั้นสาหัสอย่างตอนที่เจอวิกฤติกองหลังขาดแคลน และเมื่อทุกคนกลับมาพร้อม ทีมก็เดินหน้าต่อได้ทันทีและยังทำผลงานยอดเยี่ยมลุ้นแชมป์ 4 รายการ

กับฤดูกาลนี้ทุกอย่างย่อมดูแย่ หลายคนมองว่ามันแย่ยิ่งกว่าครั้งวิกฤติเกมรับพิการเสียอีกเพราะอย่างน้อยนักเตะก็อายุมากขึ้นอีกสองปี เกมดูเร่งไม่ขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง

ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ครั้งวิกฤติเกมรับของเราเมื่อฤดูกาล 2020/21 ลิเวอร์พูลก็แย่พอๆ กันทั้งสภาพทีม การตอบสนองในสนาม และสถานการณ์ในลีก หลายเกมเล่นกันแบบไม่มีสภาพความมั่นใจเลย เราแพ้ 6 นัดติดต่อกันในลีกที่แอนฟิลด์ เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์สโมสร

อันดับของทีมรูดลงไปอยู่ที่ 8 ของตาราง เหลือเกมเตะอีกแค่ 10 นัด เวลาก็ล่วงเข้าไปถึงช่วงต้นเดือนมีนาคมแล้ว

ถูกแมนฯ ซิตี้ ทิ้งขาดลอย แชมป์กระเด็นหลุดมืออย่างเป็นทางการ กระทั่งพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังแทบจะเป็นเพียงความฝันเลื่อนลอย

ไม่มีวี่แววของความหวัง มองไปข้างหลังมีแต่ความห่อเหี่ยว เพราะไม่เพียงแพ้ที่แอนฟิลด์ 6 เกมติดเท่านั้นแต่ทีมยังแพ้ถึง 6 จาก 7 เกมที่ลงสนามอีกด้วย มองไปข้างหน้าก็เห็นแต่ความมืดมน จะเอาตัวรอดจาก 10 เกมที่เหลืออยู่ได้อย่างไร

ถ้าเราเอาตัวเองกลับไปยืนตรงนั้นอีกครั้ง ความหดหู่ที่อบอวลอยู่รอบตัว เสียงวิจารณ์หนักหน่วงที่เกิดขึ้นทั่วสารทิศ ความสงสัยที่กลับมาอีกครั้ง.. มันไม่ได้ดีไปกว่าตอนนี้เท่าไหร่หรอก

เพียงเวลาต่างหากที่ทำให้เรารู้สึกว่าครั้งนี้หนักกว่า เพราะความกังวลยังใหม่สดเหลือเกิน ใหม่จนรู้สึกว่ามันคือความเลวร้ายที่สุดแล้ว แก้ไขไม่ได้แล้ว ด้วยเหตุผลรองรับต่างๆ นานา

แต่ชีวิตจริงก็คือทุกครั้งที่เกิดปัญหา ไม่ว่าใครก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหา ไม่มัวจมอยู่กับปัญหาแล้วปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม

มันไม่มีทางอยู่แล้ว เราก็รู้ ไม่มีใครงอมืองอเท้ารอรับชะตากรรมหรอก

หากการแก้ปัญหาบางเรื่องก็ไม่ใช่ง่ายๆ บางปัญหานั้นเชื่อมโยงพัวพันกับหลายปัจจัยจนไม่อาจแก้ได้ในชั่วข้ามคืนแม้ว่าคุณจะทำมันในวิธีการที่ถูกต้องที่สุดและทุ่มเทอย่างหามรุ่งหามค่ำแล้วก็ตาม

ลิเวอร์พูลคล้ายกำลังเมาหมัด เหมือนเพิ่งยันกายลุกขึ้นมาได้หลังจากโดนต่อยนับแปด ร่างกายยังไม่เข้าที่ สติยังไม่เข้าทาง

และด้วยความที่เราไม่รู้อนาคต อยู่ดีๆ ลิเวอร์พูลอาจฟื้นขึ้นมาชนะรวดอีกสิบเกมก็ได้ หรือดำดิ่งลงไปอีกไม่ชนะใครติดต่อกันอีกสิบนัดก็ได้ เราจึงคงต้องยึดถือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นพื้นฐานไปก่อนว่าลิเวอร์พูลคงจะมีสภาพสามวันดีสี่วันไข้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้นการมีฟุตบอลโลกมาเบรกก็อาจจะเหมือนได้ระฆังหมดยกช่วยเอาไว้

มีเวลาพักหายใจหายคอ ให้น้ำให้ท่า ตบหน้าให้ตื่นเรียกสติกันอีกครั้ง แล้วมาลุยกันต่อในอีกครึ่งทางที่เหลือ

ฟุตบอลโลกที่กาตาร์จะทำให้พรีเมียร์ลีกหยุดไป 6 สัปดาห์

เตะนัดสุดท้ายวันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน แล้วกลับมาฟาดแข้งกันอีกทีในเกมบ๊อกซิ่งเดย์วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม

หกสัปดาห์พอดิบพอดี

ในหกสัปดาห์นั้นช่วยอะไรได้บ้าง

เรื่องแรกเลยคือการได้ผ่อนคลายลง เหมือนเครื่องยนต์วิ่งเต็มสูบมานานก็ได้เวลาผ่อนคันเร่ง

ได้วางความตึงเครียดเข้มข้นเอาไว้ชั่วคราว อย่างน้อยก็ไม่มีเกมน้อยใหญ่รออยู่ในแบบสามวันเตะที เสาร์-พุธ-เสาร์-พุธ-เสาร์-พุธ อย่างที่ผ่านมา

กับสถานการณ์ที่กำลังตุปัดตุเป๋อย่างนี้ การได้หยุดการแข่งขันที่กำลังคืบหน้าไปเรื่อยๆ เอาไว้ก่อนคล้ายเป็นแสงสว่างจากสวรรค์ทีเดียวล่ะครับ

เรื่องต่อมาแน่นอนย่อมเป็นเรื่องสภาพร่างกายของนักเตะ

คนที่ไม่ได้ไปฟุตบอลโลกก็จะได้พักเต็มๆ แม้การลงซ้อมจะยังทำเหมือนปกติ แต่ร่างกายมีโอกาสได้ฟื้นฟูมากกว่าเพราะไม่มีเกมหนักๆ ให้ลงสนามถี่ยิบ ทั้งยังได้ตั้งหลักปรับสภาพใจและกายกันใหม่

ส่วนคนที่ไปเล่นฟุตบอลโลกก็ไม่ต้องกรำศึกหนักเท่าที่กำลังเป็นอยู่ เพราะใน 6 สัปดาห์นั้น คุณจะมีโอกาสลงสนามมากที่สุดแค่ 7 เกม นั่นคือกรณีที่ทีมชาติผ่านเข้าไปถึงรอบตัดเชือก

เปรียบเทียบกับช่วงเวลา 6 สัปดาห์เท่ากัน คุณอาจต้องลงเตะให้สโมสร 14-15 เกม หรือถ้าอัดเต็มพิกัดเลยก็ 18 เกม มันก็มองเห็นความแตกต่างชัดเจน

ยิ่งถ้าตกรอบอื่นๆ ก่อนถึงรอบตัดเชือก เกมเตะที่ต้องเล่นก็ลดหลั่นกันลงไป ตกรอบแปดทีมสุดท้ายก็เล่นแค่ 5 เกม ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายก็เล่นแค่ 4 เกม ตกรอบแรกก็เล่นแค่ 3 เกม

ยิ่งไปกว่านั้นคือแม้ในสโมสรคุณจะเป็นตัวจริง แต่กับทีมชาติคุณอาจไม่ได้เป็นตัวจริงก็ได้

มองไปในทีมลิเวอร์พูลเราอาจเห็นเพียง ฟาน ไดค์ คนเดียวที่เป็นตัวจริงของทีมชาติแน่ๆ ในกาตาร์ 2022 ส่วนคนอื่นที่เหลือไม่มีใครการันตีตำแหน่งตัวจริงเลย

ไม่แม้กระทั่ง อลีสซง เบ็คเกอร์ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หรือ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่เป็นตัวหลักของคล็อปป์ บางคนแม้กระทั่งตัวเลือก 26 คนสุดท้ายของโค้ชยังต้องลุ้นตัวโก่งด้วยซ้ำ

สภาพร่างกายของนักฟุตบอลก็จะได้พักบ้าง ไม่ต้องซ้อมหนักและแข่งหนักด้วยเกมที่เครียดเข้มข้นทั้งกายและใจอย่างถี่ยิบเหมือนที่ผ่านมา

นี่อาจเป็นเรื่องที่ลิเวอร์พูลกำลังต้องการที่สุดมากกว่าอะไรอื่นในตอนนี้

ถัดมาก็คงจะเป็นเรื่องของคล็อปป์และทีมงานของเขา การได้หยุดพัก 6 สัปดาห์หมายความว่าทีมแทบจะได้เวลาปรีซีซั่นเพิ่มขึ้นมาอีกช่วง

มีเวลาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและมองหาวิธีการที่ดีที่สุดในการพลิกสถานการณ์กลับมาในครึ่งฤดูกาลหลัง การเตรียมการตรงนี้จะซีเรียสจริงจังและพิจารณาอย่างรอบด้านที่สุดไล่ตั้งแต่เรื่องในสนาม เรื่องของทีม เรื่องของนักเตะแยกเป็นรายคน เรื่องของสตาฟฟ์โค้ช แม้กระทั่งเรื่องผลได้ผลเสียในการลงตลาดหน้าหนาว

เชื่อว่าช่วง 6 สัปดาห์นั้นจะเป็นช่วงที่คล็อปป์และทีมงานได้พุ่งสมาธิไปกับการแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ ไม่ต้องพะวงกับเกมเตะที่เข้ามาหาอย่างไม่เกรงใจจนไม่มีเวลาคิดอะไรอื่น

ยังไม่ทันได้ตั้งหลักจัดการกับปัญหาเลย เกมใหม่ก็มาถึงอีกแล้ว นักเตะก็เจ็บเพิ่มอีกแล้ว เรื่องปวดหัวก็มีเข้ามาอีกแล้ว..

นั่นล่ะครับ กับสภาพที่กำลังเป็นอยู่ การมาถึงของฟุตบอลโลกอาจเป็นประโยชน์ที่ลิเวอร์พูลได้รับก็ได้

หลายครั้งนะครับที่นักมวยเมื่อได้พักให้น้ำให้ท่าแล้วกลับมาต่อยยกใหม่ไล่ทุบคู่ชกเหมือนเป็นคนละคน

ตั้งหลักรีเซ็ตกันใหม่หนึ่งเดือนครึ่งและกลับมาพร้อมนักเตะตัวหลักคืนสนามมาสมทบอีกหลายคน

มันอาจเป็นจุดพลิกผันสำคัญของฤดูกาลก็ได้

โชต้ากลับมา ดิอาซกลับมา เกอิต้า มาติป กลับมา คนอื่นๆ ทยอยกันกลับมา

ลิเวอร์พูลในครึ่งฤดูกาลหลังอาจจะดีขึ้นกว่านี้ เหมือนซีซั่นก่อนที่พอตั้งหลักจากปัญหากองกลางเจ็บช่วงต้นซีซั่นได้ คล็อปป์ก็พาทีมติดลมบนยิงยาวพิสูจน์คุณค่าให้ทุกคนได้เห็นด้วยการลุ้น 4 แชมป์ดื้อๆ

เหมือนที่เมื่อตั้งตัวได้ ทีมก็สลัดความย่ำแย่ที่เพิ่งแพ้มา 6 จาก 7 เกมเดินหน้าไม่แพ้ใครอีกเลยใน 10 นัดสุดท้ายของฤดูกาล 2020/21 ปีนขึ้นไปคว้าอันดับสาม ลบคำสบประมาทได้อย่างน่าภาคภูมิใจที่สุด

เวลามักจะมอบความวิเศษให้กับเราเสมอ เดอะค็อปเองย่อมเป็นหนึ่งในกลุ่มแฟนบอลที่รู้ดีที่สุดว่ารางวัลแห่งการไม่ยอมแพ้นั้นหอมหวานขนาดไหน

ฟุตบอลโลก 2022 อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่กับสถานการณ์ของทีมในตอนนี้ บางทีแฟนบอลลิเวอร์พูลอาจจะต้องโค้งคำนับให้กับมัน

ขอบคุณที่เข้ามาช่วยเราได้ทันเวลา.. หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นนะครับ

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport