เอฟเวอร์ตัน ส่อวุ่นหลังดีลเทกโอเวอร์จากกลุ่มทุนอเมริกันเลยกำหนดเส้นตายทำให้ต้องล่มไปในที่สุด และต้องหาผู้ซื้อรายใหม่มาช่วยพยุงการเงินให้ได้
เอฟเวอร์ตัน ประกาศยืนยันเมื่อวันเสาร์ที่ 1 มิถุนายนว่า การเข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรของกลุ่มทุน 777 พาร์ตเนอร์ส จากสหรัฐอเมริกา มีอันต้องล่มไปเป็นที่เรียบร้อย ส่งผลให้ตกอยู่ในความอันตรายที่จะถูก พรีเมียร์ลีก สั่งควบคุมกิจการหากไม่มาสามารถหาผู้ซื้อรายใหม่ได้
ฟาร์ฮัด โมชิรี่ เจ้าของทีม เอฟเวอร์ตัน ตกลงขายหุ้น "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" จำนวน 94.1 เปอร์เซ็นต์ ให้กับกลุ่มทุน 777 พาร์ตเนอร์ส ที่ทำธุรกิจหลายประเภททั้งการเงิน, ประกันกัน, สินเชื่อ และกีฬา เมื่อเดือนก.ย. ปีที่แล้ว และคาดว่าการเทกโอเวอร์มีมูลค่าราว 500 ล้านปอนด์ (ประมาณ 23,500 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม พรีเมียร์ลีก ปฏิเสธที่จะอนุมัติข้อตกลงเทกโอเวอร์ เนื่องจากความกังวลในกลุ่มทุนอเมริกันที่ไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะปฏิบัติตามข้อผูกมัด แม้ทุ่มเม็ดเงินจำนวนมากเข้ามาสู่สโมสรแล้วก็ตาม หลังจากที่ เอ-แค็ป ยักษ์ใหญ่ด้านประกันภัยของสหรัฐฯ ตัดความสัมพันธ์กับพวกเขา
เอฟเวอร์ตัน แถลงว่า "ข้อตกลงระหว่าง 777 พาร์ตเนอร์ส และ บลู เฮเว่น โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด สำหรับการขายและการซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของสโมสรสิ้นสุดลงในวันนี้ คณะกรรมการบริหารของสโมสรตระหนักดีถึงการสนับสนุนทางการเงินในระดับที่สูงมากที่ 777 พาร์ตเนอร์ส ได้มอบให้กับสโมสรในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อขอบคุณพวกเขาสำหรับสิ่งนี้"
"สโมสรจะยังคงดำเนินการตามปกติ ในขณะที่ทำงานร่วมกับ บลู เฮเว่น โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด เพื่อประเมินทางเลือกทั้งหมดสำหรับการเป็นเจ้าของสโมสรในอนาคต คณะกรรมการบริหารขอขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ เอฟเวอร์ตัน สำหรับความอดทนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อมีความเหมาะสมผ่านช่องทางการสื่อสารอย่างเป็นทางการของสโมสร"
ในฤดูกาลที่ผ่านมา เอฟเวอร์ตัน โดนตัดไป 6 คะแนนข้อหาละเมิดกฎการเงิน หลังตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีขาดทุนเกินกฎที่ระบุไว้ 105 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,935 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ฌอน ไดช์ สามารถพาทีมรอดพ้นจากการตกชั้นได้สำเร็จ