เชื่อว่าแฟนบอลเชลซีคงยังไม่หายมึนงงกับความเคลื่อนไหวล่าสุดของสโมสรนะครับ
จากที่เริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมากับสถานการณ์ด้านบวกช่วงปลายฤดูกาล กลับกลายเป็นว่าต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่อีกแล้ว
เชลซียักแย่ยักยันอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนมาตลอด ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่จะเป็นกุนซือคนที่ 24 เข้าไปแล้วที่สแตมฟอร์ด บริดจ์
ไม่ใช่คนที่ 24 ในประวัติศาสตร์สโมสรนะครับ แต่เป็นคนที่ 24 นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา
24 ปี 24 คน เฉลี่ยใช้ผู้จัดการทีมปีละคนพอดี
หลังจากแยกทางกับ จานลูก้า วิอัลลี่ ในปี 2000 เชลซีก็มีผู้จัดการทีมเข้า ๆ ออก ๆ มาตลอด ทั้งแบบถาวรและขัดตาทัพ
เกรแฮม ริกซ์, เคลาดิโอ รานิเอรี่, โชเซ่ มูรินโญ่, อัฟราม แกรนท์, หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่, เรย์ วิลกิ้นส์, กุส ฮิดดิ้งค์, คาร์โล อันเชลอตติ, อันเดร วิลลาส-โบอาช, โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ
ราฟาเอล เบนิเตซ, มูรินโญ่ รอบสอง, สตีฟ ฮอลแลนด์, ฮิดดิ้งค์ รอบสอง, อันโตนิโอ คอนเต้, เมาริซิโอ ซาร์รี่, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, โธมัส ทูเคิ่ล, เกรแฮม พ็อตเตอร์, บรูโน่ ซัลตอร์, แลมพาร์ด รอบสอง แล้วก็ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
เก้าอี้ผู้จัดการทีมที่เดอะบริดจ์ไม่เคยนิ่ง ไม่ว่าจะยุคไหน บางคนจากไปอย่างเข้าใจ บางคนก็อำลาไปอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่
กรณีของ โปเชตติโน่ น่าจะเป็นอย่างหลัง กุนซือชาวอาร์เจนไตน์เริ่มแสดงให้เห็นถึงการควบคุมทุกอย่างได้ พาทีมเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่องพร้อมด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมของนักเตะหลายคน
ความตื่นเต้นกลับมาสู่ทุก ๆ คนอีกครั้ง ชนิดที่ว่าอยากให้ฤดูกาลยืดออกไปอีกสัก 1-2 เดือนเพราะทีมกำลังเล่นดี ไม่ได้สนุกอย่างนี้มานานแล้ว
โปเชตติโน่มีปัญหาพอสมควรกับฤดูกาลนี้ ไม่เพียงเป็นฤดูกาลแรกของเขาที่ต้องเริ่มทุกอย่างใหม่หมดเท่านั้น เชลซียังเจอปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บรบกวนน่าปวดหัวอีกด้วย
ตัวหลักที่ฝากความหวังไว้อย่าง คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู กองหน้าคนใหม่ก็เจ็บพักยาวตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาล แบ๊กขวาคนสำคัญอย่าง รีซ เจมส์ ก็อยู่โรงพยาบาลมากกว่าโลดแล่นในสนาม เช่นเดียวกับตัวจริงฝั่งซ้ายอย่าง เบน ชิลเวลล์ ที่ไม่ได้เล่นมากไปกว่ากันเท่าไหร่
กองกลางคนใหม่อย่าง โรเมโอ ลาเวีย ก็เจ็บเช่นกัน ขณะที่นักเตะใหม่หลายคนต้องใช้เวลาปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่และความกดดันใหม่ โดยเฉพาะ มอยเซส ไกเซโด้ กับ นิโกลัส แจ๊คสัน
แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มกลับมาลงตัว เชลซีเริ่มเก็บคะแนนเต็มไม้เต็มมืออีกหน นักเตะใหม่ปรับตัวได้ นักเตะเจ็บหายกลับมาช่วยทีม ความมั่นใจก็เกิดขึ้นด้วยผลงานที่แสดงให้เห็นในสนาม
5 เกมสุดท้ายของเชลซี พวกเขาเก็บได้ 15 คะแนนเต็ม ชนะสเปอร์ส 2-0 ถล่มเวสต์แฮม 5-0 บุกชนะฟอเรสต์ 3-2 บุกชนะไบรท์ตัน 2-1 และกลับมาปิดฤดูกาลด้วยการเฉือนบอร์นมัธ 2-1 ในเดอะบริดจ์
เกมสุดท้ายกับบอร์นมัธนั้นสำคัญ มันคือเกมที่ต้องชนะเพื่อรักษาความเชื่อมั่นให้ต่อเนื่องข้ามช่วงซัมเมอร์เข้าสู่ซีซั่นใหม่ ชนะเพื่อให้ไม่มีอะไรต้องค้างคาใจว่าตกลงแล้วทีมเราดีขึ้นจริงหรือเปล่า
โจทย์ไม่ง่ายนะครับเพราะมันมีความกดดันฉาบอยู่ แต่เชลซีก็ยังทำได้ตามเป้าหมาย เข้าสู่ช่วงปิดซีซั่นด้วยความหวังและมั่นใจ
แต่แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น การตกลงกันไม่ได้เรื่องเงื่อนไขการทำงานส่งผลให้โปเชตติโน่กับสโมสรต้องแยกทางกัน
อันที่จริงนับตั้งแต่แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 2-4 เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ เชลซีก็แพ้อีกแค่เกมเดียวเท่านั้นในลีก นั่นคือเกมที่ถูก อาร์เซน่อล บอมบ์ยับ 0-5 เกมอื่นที่เหลือมีเพียงแพ้ ลิเวอร์พูล ในช่วงต่อเวลานัดชิงลีก คัพ และแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในรอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ เท่านั้น
ทั้ง 2 เกมที่แพ้ในฟุตบอลถ้วย ทีมสิงโตน้ำเงินครามไม่ได้มีเกมที่เป็นรอง ไม่ว่าจะเป็นเกมกับหงส์แดงหรือเรือใบสีฟ้า
แน่นอนในจำนวนนี้มีเกมที่พวกเขาไม่ได้แพ้หรอกแต่น่าหงุดหงิดอยู่เช่นกันอย่างการเสมอ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด กับ เบิร์นลี่ย์ ซึ่งสุดท้ายตกชั้นทั้งคู่ แต่ในภาพรวมก็ยังถือว่าเชลซีกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น
ความเชื่อมั่นกำลังกลับมาอีกครั้งและทีมดูน่าติดตามอย่างมาก
แต่โดยไม่ทันตั้งตัว แทนที่จะได้ตื่นเต้นกันอย่างต่อเนื่องถึงทีมของพอชว่าจะเสริมใครใหม่ จะใช้รูปแบบการเล่นไหน หรือจะต่อยอดผลงานช่วงปลายฤดูกาลที่เพิ่งผ่านไปอย่างไร แฟนบอลกลับต้องมานั่งลุ้นว่าทีมจะตั้งใครเป็นนายใหญ่คนใหม่แทน
มันก็จริงอยู่นะครับว่าความเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ เราไม่รู้อนาคตหรอกว่ามันจะเป็นบวกหรือลบ แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกลางคันบนสถานการณ์ที่มองเห็นว่าทีมกำลังเดินไปข้างหน้านั้นชวนให้เป็นกังวลมากกว่า
เหมือนเรากำลังวิ่งอยู่แล้วก็หยุด คนดูไม่รู้หรอกว่าเราจะวิ่งต่อด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมไหมหรือจะเดินย้อนกลับทางเดิม แต่ที่แน่ ๆ ถ้าเราไม่หยุด เราจะกำลังวิ่งต่อไป
อารมณ์ของแฟนบอลคงน่าจะประมาณนี้
การแยกทางของพอชนั้นไม่ใช่ปัญหาเรื่องผลงานไม่ดีหรือฝ่ายบริหารไม่ประทับใจกับการพาทีมกระเตื้องขึ้นมาในช่วงปลายฤดูกาลนะครับ แต่เป็นเรื่องการดุลอำนาจระหว่างกันภายในสโมสร
โปเชตติโน่ต้องการอำนาจทำทีมมากกว่านี้ ให้มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกสักหน่อยระหว่างเขากับ พอล วินสแตนลี่ย์ และ ลอเรนซ์ สจ๊วร์ต ผู้อำนวยการกีฬาคนคู่
ทั้ง 3 คนพูดคุยกันหลายชั่วโมงเมื่อวันจันทร์ ข่าวบอกว่า วินสแตนลี่ย์ และ สจ๊วร์ต ไม่ได้ขวางอะไรมากแต่คนที่ไม่โอเคคือ เบห์ดัด เอกห์บาลี เจ้าของร่วมของสโมสร
เดอะการ์เดี้ยนรายงานว่าเป็น เอกห์บาลี ที่คัดค้านและนำมาซึ่งการแยกทาง
ผมคิดว่าเรื่องนี้ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง สัญญาระหว่าง โปเชตติโน่ กับ เชลซี ยังเหลืออีกหนึ่งปี การรีวิวผลงานฤดูกาลนี้กันและมองหาจุดบกพร่องที่ต้องแก้ไขก็เป็นเรื่องปกติ
โปเชตติโน่มองว่าเขาได้รับอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับทีมน้อยเกินไป เขาสามารถทำประโยชน์ให้ทีมได้มากกว่านี้ถ้าเสียงของเขามีน้ำหนักขึ้น แต่ฝั่งผู้บริหารอาจจะเห็นอีกอย่าง การมองหานักเตะของ วินสแตนลี่ย์ และ สจ๊วร์ต ก็ทำให้ทีมได้ผู้เล่นอย่าง โคล พาลเมอร์ มาโล กุสโต้ และ นิโกลัส แจ๊คสัน เข้ามาสู่ทีมซึ่งผลงานของทุกคนสอบผ่านกันหมด
ไม่มีความจำเป็นต้องปรับสมดุลให้คนเป็นผู้จัดการทีมมีอำนาจมากขึ้น และผลงานของทีมที่กำลังกระเตื้องขึ้นนั้นก็เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขของสัญญาฉบับปัจจุบันที่ใช้อยู่ ฉะนั้นเงื่อนไขเดิมก็ไม่ได้มีอะไรผิด ควรจะยึดถือมันต่อไป
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าเรามองมันแบบไหน เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลรองรับด้วยกันทั้งคู่ และในเมื่อพอชไม่ได้เงื่อนไขเพิ่มขึ้นอย่างที่ต้องการ เขาก็ย่อมมองว่าตำแหน่งของตัวเองอยู่ในความเสี่ยง ชื่อเสียงที่สร้างมาอาจพังทลายได้ถ้าผลงานฤดูกาลใหม่ไม่เป็นดั่งใจ
การแยกกันจึงเป็นทางออก จะว่าไปก็เป็นทางออกของมืออาชีพจริง ๆ คือเมื่อมองไม่เห็นหนทางที่จะบรรจบกันได้ ก็ไม่ทู่ซี้ดีกว่า ต่างฝ่ายต่างไปหาคนที่เหมาะสมกับเงื่อนไขของตัวเองกันต่อไป
หลังจากนี้เชลซีก็จะเดินเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงใหม่อีกครั้ง สื่อทุกสำนักรายงานตรงกันว่าสโมสรจะมองหาผู้จัดการทีมที่เป็นคนหนุ่มไฟแรงและมีศักยภาพสูง
ชื่อของหลายคนโผล่เข้ามาสู่เฟรม มิเชล แห่ง จิโรน่า, เอนโซ่ มาเรสก้า จาก เลสเตอร์ ซิตี้, โธมัส แฟร้งค์ ของ เบรนท์ฟอร์ด, แว็งซ็องต์ ก็องปานี จากเบิร์นลี่ย์
รูเบน อโมริง ของสปอร์ติ้ง ลิสบอน ที่เคยเป็นข่าวกับ ลิเวอร์พูล เซบาสเตียน เฮอเนส แห่งสตุ๊ตการ์ท หรือ โธมัส ทูเคิ่ล เองก็ตกเป็นที่พูดถึงสำหรับการหวนคืนถิ่นเก่า
ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลัง โปเชตติโน่ อำลาเดอะบริดจ์ ตัวเต็งที่จะเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่มีอยู่ 2 คนครับคือ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ ที่ว่างงานแล้วหลังอำลาทีมไบรท์ตัน กับ คีแรน แม็คเคนน่า ที่พา อิปสวิช ทาวน์ เลื่อนชั้น 2 ฤดูกาลติดต่อกัน และเป็นเป้าหมายของไบรท์ตันเช่นกัน
สามวันผ่านไป เด แซร์บี้ ยังคงเป็นตัวเต็งที่อัตราจ่ายราว ๆ แทง 1 จ่าย 1 แต่ แม็คเคนน่า รูดลงไปอยู่เต็งสี่ที่อัตราจ่าย 7 ต่อเสียแล้ว จากแนวโน้มว่าเขาอาจได้งานที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้นสังกัดเก่า
เต็งสองเปลี่ยนมาเป็น มาเรสก้า ที่ราคา 3 ต่อ เต็งสามทะลุขึ้นมาอย่างน่าสนใจคือ อโมริง อัตราจ่าย 6 ต่อ และที่มาแบบเงียบ ๆ น่าจับตาที่สุดอาจจะเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ ที่บางสำนักหั่นราคาเหลือแค่ 4 ต่อบ้าง 2 ต่อครึ่งบ้าง
แต่จะเป็นใครก็ช่างเถิด เฉพาะยุคของ ท็อดด์ โบห์ลี่ มันก็ 5 คนเข้าไปแล้วนะ
2 ปีในยุคของโบห์ลี่.. เชลซีกำลังจะใช้ผู้จัดการทีมคนที่ 6 ทั้งที่ตั้งถาวรและขัดตาทัพ
ท่ามกลางเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แฟนบอลเชลซีได้แต่พยายามทำใจลืมเรื่องนี้ให้ได้โดยเร็ว แล้วรอดูกันว่าสุดท้ายใครจะเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของพวกเขา
และนอกเหนือไปจากนั้น กุนซือคนใหม่ที่ว่าจะนั่งเก้าอี้นี้ได้นานแค่ไหน ในเมื่อค่าเฉลี่ยการใช้ผู้จัดการทีมในยุค ท็อดด์ โบห์ลี่ คือปีละ 2 คน..
ตังกุย
#จากคอลัมน์กรุ่นกลิ่นหมึก
#หนังสือพิมพ์สตาร์ซอคเก้อร์รายวัน ฉบับวันที่ 24 พ.ค. 2567