แมนซิตี้ ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ซีซั่น 2023/24 ไปครองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไมเพียงเท่านั้น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังสร้างชื่อเป็นกุนซือคนแรกที่คุมทีมซิวแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไปเชยชมเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน
รวมถึงขณะนี้ ผู้จัดการทีม สแปนิช ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก กับ เรือใบสีฟ้า รวมหกครั้งแล้ว
แต่ว่าครั้งไหนที่มีความยอดเยี่ยมที่สุด เราจะไปจัดอันดับกัน
6. 2020/21 : พลิกสถานการณ์
วัดจากมาตรฐานของตัวเอง แมนฯ ซิตี้ ออกสตาร์ตซีซั่น 2020/21 ไดอย่างเลวร้ายโดยพวกเขาทำแต้มหล่นมากถึงห้าแต้มจากแปดนัดแรกกระทั่งรั้งอันดับ 13 ของตารางหลังจากซีซั่นก่อนพวกเขาเสียแชมป์ให้กับ ลิเวอร์พูล และส่งผลให้อนาคตของ กวาร์ดิโอล่า แลดูหมิ่นเหม่
กระนั้นก็ดี เรือใบสีฟ้า แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในตัวผู้จัดการทีม และต่อสัญญาให้เขาในเดือนพ.ย.ซึ่งแม้ทีมจะยังทำแต้มหล่นสามจากห้านัดถัดไป แต่ในที่สุดพวกเขาสร้างผลงานชนะรวด 15 นัดซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดอันดับสองของสโมสร
จากผลงานดังกล่าว ส่งผลให้ แมนฯ ซิตี้ ได้แชมป์ไปครองขณะที่ยังเหลือโปรแกรมอีกสามนัด แต่ไม่ถึงกับได้ฉลองความสำเร็จกันอย่างเต็มเหนี่ยวเนื่องจากในซีซั่นนั้นแทบทุกเกมต้องลงเล่นโดยไม่มีผู้ชมในสนามจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 โดยทีมของ กวาร์ดิโอล่า เก็บได้ทั้งหมด 86 แต้มมากกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด รองแชมป์ถึง 12 แต้ม แต่ยิงได้ 83 ประตูซึ่งน้อยที่สุดในยุคของ กวาร์ดิโอล่า
5.2022/23 : ฮาลันด์ ดับฝัน อาร์เซน่อล
นี่คือซีซั่นที่ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ย้ายมาประกาศศักดาใน พรีเมียร์ลีก ได้ตั้งแต่ปีแรกด้วยการยิงประตูเป็นว่าเล่น และทำลายสถิติแทบทุกสัปดาห์พาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก สามปีติดต่อกันเป็นหนแรกจากจำนวน 36 ประตูหลังตกเป็นรอง อาร์เซน่อล ทีมจ่าฝูงอยู่นานหลายเดือน
กระทั่งการกำชัย 12 นัดติดต่อกันส่งผลให้ เรือใบสีฟ้า กระชากแชมป์มาเป็นกรรมสิทธิ์ได้สำเร็จ สวนทางกับ เดอะ กันเนอร์ส ที่ออกอาการแผ่วปลายทั้งๆที่ครองตำแหน่งจ่าฝูงอยู่นาน 32 สัปดาห์จากทั้งหมด 38 สัปดาห์ และนำหน้าแปดแต้มในช่วงเก้านัดสุดท้าย แต่ทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ทนแรงกดดันไม่ไหว ทำแต้มหล่นหกแต้มในอีกแปดนัดต่อมาทั้งออกไปเสมอกับ ลิเวอร์พูล 2-2 ชนิดที่นำหน้า 2-0 ก่อนออกไปเจ๊ากับ เวสต์แฮม ด้วยสกอร์และสถานการณ์เดียวกันเป๊ะ อีกทั้งเปิดบ้านไล่ตีเสมอ เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมในโซนตกชั้นแบบเจียนอยู่เจียนไป 3-3
และแล้วเกมต่อมา แมนฯ ซิตี้ ก็ได้ต้อนรับ อาร์เซน่อล ที่เสมอมาสามเกมรวดช่วงปลายเดือนเม.ย.โดยทีมของ กวาร์ดิโอล่า กำชัยไปแบบขาดลอย 4-1 ก่อนได้แชมป์อย่างเป็นทางการหลังจากทีมเมืองหลวงแพ้สองเกมติดต่อกันให้กับ ไบรท์ตัน และ ฟอเรสต์
4. 2021/22 : ศูนย์หน้าไม่ต้อง
แมนฯ ซิตี้ แยกทางกับ เซร์คิโอ อเกวโร่ ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในช่วงซัมเมอร์ปี 2021 และลงเล่นเกมส่วนใหญ่ของซีซั่นโดยไม่มีหัวหอกซึ่งแน่นอนว่าทำให้พวกเขาออกสตาร์ตได้ไม่สวยหรู และทำแต้มหล่นสี่จากสิบนัดแรกจนตกอยู่ในอันดับสามตามหลัง เชลซี และ ลิเวอร์พูล ทว่าในไม่ช้าพวกเขาก็กลับมาได้อีกหนโดยซิวชัย 12 นัดรวดระหว่างเดือนพ.ย.-ก.พ.
กระทั่งเดือนธ.ค.แมนฯ ซิตี้ ก็ขยับนำเป็นจ่าฝูงเป็นครั้งแรก และจากนั้นพวกเขาไม่เสียบัลลังก์อีกเลยแม้จะมี ลิเวอร์พูล ตามหายใจรดต้นคออย่างไม่ลดละโดยนัดสุดท้าย เรือใบสีฟ้า เปิดบ้านเฉือนชนะ แอสตัน วิลล่า 3-2 ทั้งๆที่ตกเป็นรองถึง 2-0 ในช่วง 20 นาทีสุดท้าย และใช้เวลาแค่หกนาทีกระทุ้งสามเม็ดคว้าแชมป์ไปครองโดยมีคะแนนมากกว่า หงส์แดง แค่แต้มเดียว
3. 2023/24 : กำชัยในศึกม้าสามตัว
แมนฯ ซิตี้ มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงซัมเมอร์ปี 2023 ด้วยการแยกทางกับ อิลคาย กุนโดกัน ,ริยาด มาห์เรซ และ เอมเมอริค ลาปอร์กต์ แถมหลังออกสตาร์ตเกมแรก พวกเขาก็เสีย เควิน เดอ บรอยน์ ที่เจ็บไปนานเกินกว่าห้าเดือน แต่ยังกำชัยหกเกมแรกได้ซึ่งเป็นสถิติการออกสตาร์ตที่ดีที่สุดเทียบเท่าของสโมสรโดยมี ฟิล โฟเด้น ร่ายเพลงเตะได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต
เท่านั้นไม่พอ ทีมเงินถังยังเสีย โรดรี้ ที่ติดโทษแบนเกมลีกสามนัดด้วย และทำให้พวกเขาไม่ชนะทั้งสามเกม แต่ในที่สุด เรือใบสีฟ้า ก็แพ้เกมลีกนัดสุดท้ายในเดือนธ.ค.ด้วยการออกไปแพ้ วิลล่า 1-0 และได้แชมป์ไปครองโดยไม่แพ้ใครอีกเลยหลังจากนั้นซึ่งพวกเขาได้ เดอ บรอยน์ คัมแบ็คกลับมาช่วยทีมแม้จะว่าไป แมนฯ ซิตี้ มีผลงานชนะแค่สองจากแปดนัดในเกมบู๊กับทีมระดับท็อปไฟว์
อย่างไรก็ดี การลุ้นแชมป์ระหว่างสามสโมสร ลิเวอร์พูล ชิงบอกลาไปก่อนตั้งแต่เดือนเม.ย. ขณะที่ อาร์เซน่อล ทำได้ดีกว่าซีซั่นก่อนด้วยการบี้แย่งแชมป์กับ แมนฯ ซิตี้ ได้อย่างคู่คี่สูสีกระทั่งต้องตัดสินแชมป์กันในวันสุดท้าย แต่ เรือใบสีฟ้า ซึ่งมีภาษีเหนือกว่าไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวังกับการคว้าแชมป์ลีกอิงลิชสี่ปีซ้อนเป็นสโมสรแรกนับตั้งแต่ก่อกำเนิดลีก 135 ปี
2. 2018/19 : หักปีกหงส์
หลังจาก กวาร์ดิโอล่า ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกของเขาเมื่อซีซั่นก่อนจากการทิ้งห่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมอันดับสอง 19 แต้ม แมนฯ ซิตี้ ก็ถูกวางตัวให้เป็นเต็งหามของซีซั่นนี้ตามระเบียบโดยมี ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นคู่ปรับสำคัญ และทำให้กุนซือสแปนิชประสบกับความยากลำบากที่ต้องตามหลัง หงส์แดง หกแต้มในช่วงครึ่งซีซั่นแรกหลังออกไปแพ้ เลสเตอร์ 2-1 ช่วงปลายเดือนธ.ค.
อย่างไรก็ดี อีกสองเกมต่อมา เรือใบสีฟ้า เปิดบ้านเอาชนะ หงส์แดง ได้ 2-1 จากนั้นช่วงปลายเดือนธ.ค.ทีมของ กวาร์ดิโอล่า ออกไปแพ้ นิวคาสเซิ่ล 2-1 ซึ่งเป็นเกมสุดท้ายที่พวกเขาปราชัยเนื่องจากนับจากนั้น แมนฯ ซิตี้ ชนะรวด 14 นัดจนถึงเกมปิดซีซั่น และได้แชมป์ไปครองโดยมีแต้มมากกว่า เร้ด แมชีน หนึ่งแต้ม
1. 2017/18 :เป๊ป เริ่มต้นนับหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กวาร์ดิโอล่า ถูกตั้งคำถามถึงความสามารถหลังตัดสินใจรับงานคุมทีมใน พรีเมียร์ลีก และเลือกเซ็นสัญญากับ แมนฯ ซิตี้ โดยไม่อาจพาทีมซิวแชมป์ได้เลยแม้แต่ใบเดียวในซีซั่นแรกของเขากับสังเวียนแข้ง เอติฮัด สเตเดี้ยม
จากความล้มเหลว กวาร์ดิโอล่า ซึ่งพา แมนฯ ซิตี้ คว้าอันดับสามรองจาก เชลซี และ สเปอร์ส โดยมีแต้มน้อยกว่า สิงห์บลูส์ ของกุนซือ อันโตนิโอ คอนเต้ 15 แต้ม และน้อยกว่า ไก่เดือยทอง ในยุคของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ 8 แต้ม เล็งเห็นจุดอ่อนของสโมสรว่าอยู่ที่เกมรับ ในช่วงซัมเมอร์เขาจึงเซ็นสัญญากับสามกองหลัง บวกกับนายทวาร รวมทั้ง แบร์นาร์โด้ ซิลวา ซึ่งส่งผลให้ทีมชนะ 19 จาก 20 นัดแรกของซีซั่น
เป็นอีกครั้งที่ กวาร์ดิโอล่า ต้องเผชิญหน้ากับ โชเซ่ มูรินโญ่ คู่ปรับเก่า และหลังพาทีมบุกไปกำชัยเหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ 2-1 ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เรือใบสีฟ้า ก็ทิ้งห่าง ปีศาจแดง ไปไกล 11 แต้มในเดือนธ.ค.
ลงท้ายแล้วพวกเขาได้แชมป์ก่อนจบซีซั่นห้านัดโดยมีแต้มเหนือทีมร่วมเมืองซึ่งได้อันดับสอง 19 แต้ม แถมสร้างสถิติได้มากมายทั้งเก็บแต้มในเกมเยือนได้มากที่สุด 50 แต้ม , เก็บแต้มทิ้งห่างอันดับสองมากที่สุด 19 แต้ม , ชนะต่อซีซั่นมากที่สุด 32 นัด ,ชนะเกมเยือนมากที่สุด 16 นัด , ยิงประตูได้มากที่สุด 106 ประตู , มีผลต่างประตูได้เสียมากที่สุด +79 และชนะต่อเนื่องมากที่สุด 18 นัดโดยพวกเขาเก็บแต้มไปได้ทั้งสิ้น 100 แต้ม