โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงเป็นนักเตะที่ทำให้ สเปอร์ส ต้องหลอนอย่างต่อเนื่อง หลังเจ้าตัวสร้างสถิติใหม่ในการลงเล่นเกมล่าสุดที่ช่วย "หงส์แดง" ดับ "ไก่เดือยทอง" 4-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้มาเยือนอาการยังโคม่าแพ้ 4 เกมติดต่อกัน ทำให้โอกาสในการลุ้นท็อปโฟร์ชักเริ่มน่าเป็นห่วง สำหรับแมตช์นี้ ฮาร์วี่ย์ เอเลียตต์ โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมคู่ควรกับการได้ลงสนามในเกมที่เหลืออยู่ของซีซั่น เช่นเดียวกับ โคดี้ กัคโป ที่โดดเด่นเหลือเกินในแดนหน้า และประสานงานกับ หลุยส์ ดิอาซ กับ "บังโม" ได้อย่างเข้าขา
1. ซาลาห์ กลับมาโหดอีกครั้ง
หลังจากเกิดประเด็นดราม่าระหว่าง โม ซาลาห์ กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตอนนี้ทุกอย่างเคลียร์กันเรียบร้อย และ "บังโม" ได้ตอบสนองเรื่องดังกล่าวด้วยการงัดฟอร์มสุดยอดออกมา
"คิง ออฟ อียิปต์" กับ สเปอร์ส เปรียบเสมือน "งูเหลือมแพ้เชือกกล้วย" เพราะเวลาที่เจอกันทีไหร่ ซาลาห์ มักจะสร้างผลงานดีมีคุณภาพเป็นประจำที่สำคัญในแมตช์นี้เขายังทำผลงานจนกลายเป็นสถิติใหม่ในศึกพรีเมียร์ลีกด้วย
เริ่มตั้งแต่ ซาลาห์ กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ลีก ที่ทั้งยิงได้ 10 ประตูขึ้นไป และแอสซิสต์ 10 ประตูขึ้นไปได้สามซีซั่นติดต่อกันแล้ว และเป็นนักเตะรายที่สองเท่านั้นที่มีผลงานทั้งสองด้านนี้รวม 5 ซีซั่นถัดจากที่ เวย์น รูนีย์ เคยทำได้
นอกจากนี้ "บังโม" แซงหน้า 3 ตำนานสโมสรอย่าง เซอร์เคนนี่ ดัลกลิช, เอียน รัช และ โรเจอร์ ฮันท์ ที่ตะบันประตูใส่ "ไก่เดือยทอง" ในเกมลีกได้มากที่สุด 9 ประตู พร้อมกันนี้ยังทำสถิติเป็นแข้งที่ส่งบอลซุกก้นตาข่าย สเปอร์ส เพิ่มเป็น 12 ลูกในทุกรายการ
ฟอร์มระดับมาสเตอร์พีซในการพบกับ สเปอร์ส คงทำให้สาวก "น้องไก่" คาดหวังเห็น สตาร์ทีมชาติอียิปต์ อำลาถิ่นแอนฟิลด์ หลังจบฤดูกาลนี้ เพราะถ้าขืนอยู่เล่นต่อไปมีหวังได้โดนกระซวกตาข่ายอีกแหงๆ
2. "น้องไก่" คอตกต่อเนื่อง
สเปอร์ส กำลังเจอกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่เหลือเกินในช่วงที่ผ่านมา โดยพวกเขาแพ้ในเกมลีก 4 แมตช์ติดต่อกัน เริ่มตั้งแต่การโดน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ทุบ 0-4, แพ้ อาร์เซน่อล 2-3, แพ้ เชลซี 0-2 และตบท้ายด้วยการถูก ลิเวอร์พูล กระซวก 2-4
ผลงานที่น่าผิดหวังในเวลานี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีของ สเปอร์ส เลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ในช่วงต้นฤดูกาลกุนซืออังเก้ ปอสเตโคกลู สร้างทีมได้อย่างแข็งแกร่งถึงขนาดขึ้นไปรั้งจ่าฝูงลีก และยังทำให้ทีมมีลุ้นติดท็อปโฟร์คว้าโควตาลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเขากลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง โดยรั้งอันดับ 5 มีเพียง 60 คะแนนตามหลัง แอสตัน วิลล่า 7 คะแนน แต่ยังดีที่แข้งน้อยกว่า 1 เกม แถม "สิงห์ผงาด" ดันสะดุดแพ้ ไบรท์ตัน ในแมตช์ล่าสุดทำให้พวกเขายังมีโอกาสที่จะได้ลุ้นท็อปโฟร์อีกเฮือก
ในเวลานี้ ปอสเตโคกลู จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระตุ้นลูกทีมให้กลับมามีความมั่นใจ และหาทางที่จะงัดฟอร์มเก่งออกมาให้ได้ถ้าหากพวกเขาจะลุ้นทำคะแนนแซงหน้า วิลล่า
กระนั้น สเปอร์ส คงต้องลุ้นหายต่อทั้งแช่งไม่ให้ทีมของกุนซืออูไน เอเมรี่ แพ้รวดทั้ง 2 เกมทีเหลืออยู่ และพวกเขาต้องเอาชนะให้ได้หมดแต่หนึ่งในสามเกมที่ทีมต้องปะทะก็คือการรับมือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งกำลังลุ้นแชมป์ลีกอยู่ซะด้วย
ทั้งนี้ ปอสเตโคกลู สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่เมื่อเป็นกุนซือคนแรกที่ได้รางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยม 3 เดือนติดต่อกัน (สิงหาคม, กันยายน และ ตุลาคม) และเขาก็เป็นกุนซือคนแรกของ สเปอร์ส ในรอบ 2 ทศวรรษที่ทำทีมแพ้ในเกมลีก 4 แมตช์ติดต่อกัน !!!
3. เอลเลียตต์ พิสูจน์ให้เห็นคุณค่าที่คู่ควร
การเลือกจับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ลงตัวจริงทำให้แดนกลางของ ลิเวอร์พูล เต็มไปด้วยพลังขยับเคลื่อน เพราะ "เจ้าจุก" แสดงให้เห็นถึงพลังในการเล่น ที่สำคัญเขายังวิ่งไม่หยุดและพยายามช่วยทีมทั้งเกมรับและเกมรุก
ดาวเตะชาวอังกฤษ วัย 21 ปี เล่นได้อย่างโดดเด่นตั้งแต่ต้นเกมทั้งการไล่บดบี้ตัดบอลจากแข้งสเปอร์ส และการวิ่งหาพื้นที่ว่างได้อย่างชาญฉลาด ที่สำคัญเขายังโชว์ทักษะในการวางบอลให้ โคดี้ กัคโป โหม่ทำประตูด้วย
นอกจากนี้ เอลเลียตต์ ยังโชว์ความยอดเยี่ยมในการประสานงานกับ โม ซาลาห์ โดยเฉพาะการชิ่งบอลกับ "บังโม" และตะบันประตูสุดงามหยดชดช้อย ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่ทำให้เขาได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามหลังจบเกม
ผลงานของ เอลเลียตต์ ในแมตช์นี้เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาพร้อมที่จะเป็นตัวหลักในแดนกลางของ ลิเวอร์พูล และสำหรับกุนซือคนใหม่ที่จะเข้ามาทำงานแทน คล็อปป์ ซึ่งว่ากันว่าคงเป็น อาร์เน่ สล็อต น่าจะให้โอกาสเจ้าหนูรายนี้ได้ลงสนามมากยิ่งขึ้น
4. สามประสานที่ลงตัว
ตอนนี้ดูเหมือนว่า โคดี้ กัคโป น่าจะเป็นหน้าเป้าที่เหมาะที่สุดสำหรับ ลิเวอร์พูล ในเกมที่เหลืออยู่ของฤดูกาลนี้ หลังเจ้าตัวแสดงผลงานที่ยอดเยี่ยมในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมกับเกมมากกว่า ดาร์วิน นูนเญซ
สตาร์ชาวดัตช์ ประสานงานกับ หลุยส์ ดิอาซ และ โม ซาลาห์ ได้อย่างลงตัวในแมตช์นี้ โดยเทคนิคและความเร็วของเขาสร้างปัญหาให้กับเกมรับของทีมเยือนอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญจังหวะการเปิดบอลให้ "บังโม" ทำประตูทั้งแม่นยำและจังหวะพอดีเป๊ะ
นอกจากนี้ กัคโป ยังมีส่วนในการสร้างสรรค์เกมรุกร่วมกับ ดิอาซ และ ซาลาห์ แถมยังลงมารับบอลในแดนกลางเพื่อช่วยปั้นเกมด้วยที่สำคัญการโหม่งทำประตูก็เฉียบคม แน่นอนว่าแมตช์นี้ ดาวเตะทีมชาติเนเธอร์แลนด์ แสดงให้เห็นคุณภาพที่ครบเครื่องจริงๆ
เห็นได้ชัดว่า กัคโป เป็นมากกว่าผู้เล่นหมายเลข 9 หรือ "หน้าเป้า" โดยสามารถขยับไปเล่นทางกว้างเพื่อสร้างพื้นที่ว่างให้ ซาลาห์ กับ ดิอาซ และพร้อมจบสกอร์เมื่อมีโอกาส ดังนั้นในช่วง 2 เกมสุดท้าย คล็อปป์ ควรให้เขาได้ลงเป็นตัวจริงมากกว่า นูนเญซ ซึ่งเกมนี้ลงเป็นตัวสำรองและมีโอกาสทำประตูแต่ตกม้าตายเหมือนเดิม !!
5. สองแมตช์สุดท้ายก่อนอำลา คล็อปป์
สาวก "เดอะ ค็อป" รู้อยู่เต็มอกแล้วว่าการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกมันจบไปแล้วหลังสิ้นสุดเดือนเมษามหาวิปโยค (สำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูล) แต่ในทางคณิตศาสตร์ยังถือว่ามีโอกาสแต่มันช่วงริบหรี่ซะเหลือเกิน
โปรแกรมที่เหลืออยู่ 2 แมตช์เยือน แอสตัน วิลล่า และรับมือ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส อาจไม่ใช่เกมที่หนักหนาสาหัสอะไรมากนักสำหรับ "หงส์แดง" แต่ก็ไม่ต้องไปบ้าจี้ตามพวกนักวิเคราะห์ที่บอกวา ลิเวอร์พูล อาจสร้างปาฎิหาริย์ เพราะโอกาสมันแทบจะเป็นศูนย์ หรือพูดแบบแฟร์ก็คือไม่มีทางเป็นไปได้
สิ่งสำคัญที่แฟนบอลลิเวอร์พูล คาดหวังก็คือการเก็บชัยชนะให้ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในเกมที่แอนฟิลด์ เพราะนั่นคือแมตช์สุดท้ายที่เหล่า "เดอะ ค็อป" จะได้เห็น คล็อปป์ ทำหน้าที่คุมทีมข้างสนาม
แม้บทสรุป ลิเวอร์พูล จะได้เพียงแค่แชมป์คาราบาว คัพ และจบในลีกอย่างน้อยสุดอันดับ 3 ก็ตาม แต่สิ่งที่ "บอส" ได้สร้างเอาไว้กับทีมตลอด 9 ปีที่ผ่านมา มันยิ่งใหญ่และทำให้แฟนบอล "หงส์แดง" ได้ลืมตาอ้าปาก
เชื่อว่าในแมตช์สุดท้ายที่แอนฟิลด์ เหล่าพ้องเพื่อนร่วมสายโลหิต "หงส์แดง" คงพร้อมใจกันร้องเพลง "ยู วิลล์ เนเวอร์ วอล์ค อะโลน" (You'll never walk alone) ดังลั่นสนาม เพื่อเป็นการอำลา คล็อปป์
ทอมเม้ง