โอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ของ ลิเวอร์พูล ตอนนี้แทบจะไม่เหลือแล้ว เมื่อพวกเขาโดนเพื่อนบ้านตัวแสบ เอฟเวอร์ตัน ถลุงเบาๆ 0-2 ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ เมื่อวันพุธที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา โดยฟอร์มของแข้ง "หงส์แดง" แทบไม่เหลือทรงเมื่อช่วงต้นปีแม้แต่นิดเดียว พลังในการโจมตีคู่แข่งไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ที่สำคัญสามประสานในเกมรุกแมตช์นี้ไม่สามารถขู่กองหลังเจ้าบ้านได้เลย ขณะเดียวกันต้องชื่นชมความมุ่งมั่นทุ่มเทของ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เพราะพวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ นั่นก็คือการขัดขวางคู่อริร่วมเมืองไม่ให้เป็นแชมป์ลีก และการคว้าสามคะแนนเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี
1. แนวรุกไร้ประสิทธิภาพ
เจอร์เก้น คล็อปป์ มีออปชั่นจำกัดในการจัดสามประสานลงสนามโดยต้องเหลือแค่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, หลุยส์ ดิอาซ และ ดาร์วิน นูนเญซ เท่านั้น ส่วน ดีโอโก้ โชต้า ดันมีปัญหาบาดเจ็บ ขณะที่ โคดี้ กัคโป ติดภารกิจส่วนตัวซึ่งมีรายงานว่าต้องไปดูแลภรรยาที่คลอดลูกคนแรกของพวกเขา
เห็นได้ชัดเลยว่าเกมบุกทางฝั่งขวา และตรงกลางของ "เดอะ เร้ดส์" ขาดประสิทธิภาพอย่างมาก โดยแนวรับของเอฟเวอร์ตัน สามารถรับมือกับ "บังโม" ได้สบายๆ ขณะเดียวกับเจ้าตัวก็ฟอร์มออกทะเลไปแล้ว เพราะบางจังหวะที่ได้โอกาสยิงก็พลาดเป้าไปเยอะ
ส่วน นูนเญซ ดูเหมือนฟอร์มเดิมจะกลับมาอีกครั้ง ! เพราะเกมนี้เห็นได้ชัดว่าจังหวะการจับบอลขาดความนิ่ง บางครั้งมีโอกาสได้ยิงประตูก็ขาดความเฉียบคม ขณะที่การวิ่งหาพื้นที่ก็ไม่ดี ถือเป็นอีกเกมที่น่าผิดหวังสำหรับน้อง "นูน"
ขณะที่ ดิอาซ ยังพอฝากฝีฝากไข้ได้บ้าง เพราะทุกครั้งที่ขึ้นเกมรุกทางฝั่งซ้าย ต้องบอกว่าสามารถปั่นป่วนแผงหลังเจ้าบ้านได้ตลอด ที่สำคัญ ดาวเตะชาวโคลอมเบีย ยังเกือบมีชื่อเป็นผู้ทำประตูแต่ดันยิงแม่นเสาไปหน่อย
2. เอฟเวอร์ตัน เต็มไปด้วยพลังและแรงกระตุ้น
ต้องยอมรับว่าแมตช์นี้นักเตะ และกองเชียร์เอฟเวอร์ตัน เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง โดยบรรดาแข้ง "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" วิ่งทุกจังหวะสู้ไม่มีถอย และไม่ยอมปล่อยให้ ลิเวอร์พูล มีเวลาได้เล่นตามเกมที่ถนัดเลย
ทั้งกองหลัง, กองกลาง และกองหน้าของเอฟเวอร์ตัน วิ่งเข้าหาบอลทุกจังหวะ นั่นทำให้นักเตะ "หงส์แดง" ไม่สามารถหาโอกาสในการตั้งเกมได้เลย ซึ่งสถานการณ์แบบนี้เหมือนกับแมตช์ที่พวกเขาแพ้ คริสตัล พาเลซ และ อตาลันตา (ยูโรปา ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรก)
นอกจากผู้เล่นเอาต์ฟิลด์ที่วิ่งสู้ฟัดแล้ว จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวารทีมชาติอังกฤษ ดันผีปลาหมึกเข้าสิงโชว์ฟอร์มเซฟจังหวะสำคัญถึง 7 ครั้ง นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ เอฟเวอร์ตัน สามารถเก็บคลีนชีตได้อย่างยอดเยี่ยม
อีกหนึ่งจุดที่ไม่ชมไม่ได้เลยก็คือบรรดากองเชียร์ "ทอฟฟี่เมน" ที่ส่งเสียงจนคอหอยแทบแตกเพื่อกระตุ้นทีมรักของพวกเขาในการปราบคู่อริร่วมเมือง และนี่คือผู้เล่นคนที่ 12 ที่มีส่วนสำคัญในการคว้าสามคะแนน
เอฟเวอร์ตัน สามารถบรรลุภารกิจที่ตั้งเอาไว้ได้สำเร็จ โดยพวกเขาต้องการสามคะแนนเพื่อความอยู่รอดในศึกพรีเมียร์ลีก และยังขัดแข้งขัดขา ลิเวอร์พูล ในการลุ้นแชมป์ลีกอีกด้วย
3. แผงมิดฟิลด์ขาดพลังขับเคลื่อน
นับตั้งแต่ที่นักเตะลิเวอร์พูลทะยอยหายเจ็บกลับมา แต่กลายเป็นว่าฟอร์มของทีมขาดความกระตือรือร้น ซึ่งสวนทางกับช่วงที่พวกเขามีนักเตะบาดเจ็บเยอะ และใช้พวกดาวรุ่งลงสนามแต่ฟอร์มของทีมเต็มไปด้วยพลังโดยเฉพาะในแผงมิดฟิลด์
แมตช์นี้ คล็อปป์ เลือกใช้งาน เคอร์ติส โจนส์ กับ โดมินิค โซโบซไล และให้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ยืนเป็นกลางรับ ซึ่ง สตาร์ทีมชาติอาร์เจนตินา ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีแต่การที่ต้องยืนในตำแหน่งดังกล่าวเป็นการลดทอนประสิทธิภาพในเกมรุกอย่างเห็นได้ชัด
ส่วน โจนส์ กับ โซโบซไล ถือว่าฟอร์มน่าผิดหวังจริงๆ ทั้งสองคนไม่สามารถปั้นเกมบุกสวยๆ ให้กับทีมได้เลย โดยเฉพาะในรายของ ดาวเตะชาวอังกฤษ ที่ได้รับโอกาสลงตัวจริงนับตั้งแต่หายเจ็บ แต่ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งตอบแทนความไว้วางใจของ คล็อปป์ ได้เลย
หลังจากที่ส่ง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ กับ วาตารุ เอ็นโด ลงสนามก็ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนเกมอะไรมากนัก แถม เอ็นโด ยังเกือบทำให้ทีมเสียประตูที่สามด้วย งานนี้ต้องบอกว่าแดนกลางของ "เดอะ เร้ดส์" แม้จะครองบอลได้เลย แต่ไร้ประสิทธิภาพในการโจมตีคู่แข่ง
4. โอกาสลุ้นแชมป์ลีกแทบเป็นศูนย์
สถานการณ์ในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล ตอนนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะพวกเขาตามหลัง อาร์เซน่อล 3 คะแนน และที่สำคัญมีแววที่จะร่วงตกไปอยู่อันดับ 3 ถ้าหาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน
ฟอร์มของ "หงส์แดง" ในแมตช์ต้องบอกว่าเร่งไม่ขึ้นจริงๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถสร้างเกมที่ถนัดได้เลย ที่สำคัญจังหวะการยิงประตูก็ดูเหมือนขาดๆ เกินๆ และพลังในการเล่นก็ดูเหมือนจะไม่หลงเหลือเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา
แน่นอนว่าหากมองตามหลักคณิตศาสตร์การเล่นโปรแกรมอีก 4 แมตช์อาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้ แต่ถ้ามองจากโลกแห่งความเป็นจริงเรื่องแบบนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฟอร์มของ อาร์เซน่อล และ แมนซิตี้ ยังไม่มีที่ท่าว่าจะแผ่วแม้แต่นิดเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นความมั่นใจของบรรดาแข้ง "เดอะ เร้ดส์" แทบจะเหือดหายไปหมดแล้ว ฉะนั้นเกมที่เหลืออยู่ของ ลิเวอร์พูล บอกเลยว่าสาวก "เดอะ ค็อป" คงต้องลุ้นกันเหนื่อยว่าจะชนะคู่แข่งได้อีกหรือไม่
5. เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ สุดท้ายของ คล็อปป์ ที่ไม่น่าจดจำ
เกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่สนามกูดิสัน พาร์ค จะเป็นแมตช์สุดท้ายที่ คล็อปป์ ได้ลงทำหน้าที่กุมบังเหียนพลพรรค "หงส์แดง" ฟาดฟันกับเพื่อนบ้านตัวแสบ และแน่นอนว่าแฟนบอล "หงส์แดง" อยากเห็น "บอส" รักษาสถิติที่สวยหรูเอาไว้
นายใหญ่ชาวเยอรมัน ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการนำลูกทีมปะทะ เอฟเวอร์ตัน เพราะเขาไม่เคยแพ้ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ศึกพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามากุมบังเหียนยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์
อย่างไรก็ตามตอนนี้สถิติดังกล่าวได้จบสิ้นลงไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยน้ำมือของ จาร์ราด แบรนธ์เวท กับ โดมินิค คัลเวิร์ต ลูวิน แถมมันยังทำให้โอกาสลุ้นแชมป์ลีกของ ลิเวอร์พูล หลุดลอยไปด้วย
สำหรับดาร์บี้แมตช์แห่งเมืองลิเวอร์พูลครั้งสุดท้ายของ คล็อปป์ มันช่างน่าผิดหวังจริง เพราะนอกจากทีมจะแพ้แล้ว ฟอร์มการเล่นของนักเตะก็ย่ำแย่สุดๆ นี่คือเป็นอีกหนึ่งเกมที่ไม่น่าจดจำสำหรับการอำลาทีมของเขาจริงๆ
ทอมเม้ง