กระทั่งแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็อาจจะยังคิดไม่ถึงว่าสัปดาห์นี้สัปดาห์เดียวเหมือนพวกเขาได้ 12 คะแนน
เหมือนชนะในศึก 6 แต้มทั้ง 2 เกม.. ชนะอาร์เซน่อล ชนะลิเวอร์พูล
เกมที่ 32 ของฤดูกาลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ทั้ง 3 ทีมจะไม่ได้ฟาดแข้งกันเองและนับจากนี้ไปจนจบซีซั่นก็จะไม่ได้เตะกันเองอีกแล้ว ทว่าผลชนะของซิตี้ กับผลแพ้ของทั้งหงส์แดงและปืนใหญ่นั้นไม่ต่างอะไรกับการเอาชนะคู่แข่งแย่งแชมป์ได้โดยตรงในเกมที่พบกัน
ไม่ต้องเจอกันเองก็กำไรมหาศาลไปกลับ 6 คะแนนได้
แมนฯ ซิตี้ ชนะ ลูตัน ทาวน์.. 3 คะแนนพร้อมประตูได้เสียอีก +4
ลิเวอร์พูล แพ้ คริสตัล พาเลซ.. 0 แต้มพร้อมประตูได้เสีย -1
อาร์เซน่อล แพ้ แอสตัน วิลล่า.. 0 คะแนนพร้อมประตูได้เสีย -2
เวลานี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยิ่งเป็นตัวเต็งมากขึ้นไปอีกสำหรับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อัตราต่อรองล่าสุดจากบริษัทรับพนันถูกกฎหมายลดราคาจ่ายกันอุตลุดเหลือแค่ครึ่งเดียว เอา 10 บาทไปแลก 5 บาทกันแล้ว
ส่วนอาร์เซน่อล 4 เท่าตัว และลิเวอร์พูล 6 เท่าตัว
เหลืออีก 6 เกมจะจบฤดูกาล ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางและกลับมาอยู่ในมือทีมเรือใบสีฟ้า ยิ่งในช่วง Run-in ทางตรงสุดท้ายของฤดูกาลแบบนี้เราต่างก็รู้ดีถึงศักยภาพของพวกเขา
แมนฯ ซิตี้ เคยชนะ 14 เกมรวดตั้งแต่นัดที่ 25 ถึงนัดที่ 38 เมื่อฤดูกาล 2018/19 ที่เข้าป้ายด้วยการเบียดลิเวอร์พูล 98 คะแนนต่อ 97 คะแนน
เคยรันยาวแพ้แค่เกมเดียวตลอดครึ่งซีซั่นหลังโดยที่ 9 นัดหลังสุดชนะ 7 เสมอ 2 คว้าแชมป์เหนือลิเวอร์พูลอีกหนเมื่อฤดูกาล 2021/22 ที่ลงเอยด้วยแต้ม 93 ต่อ 92
ฤดูกาลที่แล้วที่ลุ้นแชมป์กับอาร์เซน่อล การเข้าเบรกชนะ 9 นัดรวดขณะที่ทีมปืนใหญ่หกล้มได้แค่ 3 คะแนนจาก 4 นัดช่วงเดือนเมษายนมีส่วนทำให้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แซงเข้าเส้นชัยชนิดที่สามารถผ่อนใน 2 เกมสุดท้ายได้อีก
ช่วงทางตรงสุดท้ายของ แมนฯ ซิตี้ พูดได้เลยว่าเหี้ยมโหด มีสะดุดให้เห็นบ้างแต่ก็ในช่วงที่ไม่มีอะไรต้องลุ้นแล้ว ทว่าหากเป็นช่วงที่ยังเข้าด้ายเข้าเข็มบี้แชมป์แบบไหล่ต่อไหล่ต้องเน้นทุกเกม มันยากเหลือเกินสำหรับบรรดากองแช่งที่หวังให้พวกเขาแพ้ภัย
ทั้งเดอะค็อปและกูนเนอร์สต่างคงรู้ดีถึงความเขี้ยวลากดินของซิตี้ในเรื่องนี้
กระนั้นความเป็นจริงก็คือ ฤดูกาลนี้ยังเหลืออีก 6 นัด มีคะแนนให้เก็บอีก 18 แต้ม และทั้ง ลิเวอร์พูล กับ อาร์เซน่อล ก็ตามหลังแชมป์เก่า 3 สมัยซ้อนแค่ 2 คะแนนเท่านั้น
2 คะแนนหมายความว่าผลไป-กลับแค่นัดเดียวสามารถพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้
ถ้าเอาความรู้สึกมาวัดมันก็ยากที่จะมองเห็นว่ามันจะเกิดขึ้น ถ้าจะมีทีมที่สะดุดน่าจะเป็น อาร์เซน่อล กับ ลิเวอร์พูล เองมากกว่า แต่ก็นั่นล่ะครับ ขึ้นชื่อว่ามีโอกาส ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญดูไม่น่าเป็นไปได้แค่ไหนมันก็ยังมีโอกาส
ฟุตบอลมีเรื่องเหลือเชื่อเหล่านั้นเกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ได้บ่อยจนเกร่อหรอกแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีเอาเสียเลย
ผมมองว่าโอกาสแชมป์ของ แมนฯ ซิตี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 80 เปอร์เซนต์แล้วในตอนนี้ เหลืออีกสัก 20 เปอร์เซนต์ให้ลิเวอร์พูลกับอาร์เซน่อลไปแบ่งกัน
บางคนยอมแพ้แล้ว.. แต่บางคนยังไม่ยอม มันก็เป็นเรื่องของแต่ละคน คนที่เขายอมอาจไม่ใช่ใจเสาะหรือดูถูกทีมก็ได้ แต่คิดคำนวนจากความน่าจะเป็นแล้วเห็นว่าไล่ไม่ทันจริง ๆ
หรือคนที่ยังไม่ยอมแพ้ก็ใช่ว่าเป็นพวกไม่ยอมรับความจริงหรือโลกสวยอย่างที่ถูกกล่าวหาด้วยคำมักง่าย แค่เขายังไม่ยอมแพ้ตราบใดที่ยังมีความหวังคงไม่ใช่เรื่องโง่เง่ากระมัง
สำหรับผมยังไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว ฟุตบอลมีเรื่องไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นมากมายเกินกว่าที่จะใช้ความรู้สึก ความเป็นไป หรือกระทั่งเหตุผลในปัจจุบันไปตัดสินอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
อาจจะฟังดูน่าตลกสำหรับบางคน แต่มีกี่ครั้งกันแล้วที่เรื่องน่าขันเหล่านั้นเกิดขึ้นจริง
แม้ส่วนใหญ่มันจะไม่เป็นไปตามที่หวังก็เถอะ แต่คุณก็คงปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ไม่ได้หรอกใช่ไหม
แชมป์เอฟเอ คัพ 1988 ของวิมเบิลดัน แชมป์ยุโรปของเดนมาร์ก แชมป์ยุโรปของกรีซ แชมป์พรีเมียร์ลีกของเลสเตอร์ ซิตี้ แชมป์บุนเดสลีกาของน้องใหม่ไกเซอร์สเลาเทิร์น อาร์เจนติน่าแพ้แคเมอรูน แพ้ซาอุดีอาระเบีย เยอรมันแพ้เกาหลีใต้ แพ้ญี่ปุ่น อิตาลีตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2 สมัยซ้อน..
โดนเอซี มิลานนำ 0-3 ครึ่งแรก แพ้บาร์เซโลน่า 0-3 ที่คัมป์ นู ไม่ซื้อสตาร์ดังแต่ไปซื้อซาลาห์ ซื้อมาเน่ แบ๊กซ้ายซื้อ โรเบิร์ตสัน เนี่ยนะ มันนักเตะตกชั้นรู้หรือเปล่า แล้วทำไมต้องซื้อ ฟาน ไดค์ แพงขนาดนั้น ทำไมต้องซื้อ อลีสซง แพงขนาดนี้ ทำไมยังให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เล่นอยู่ได้ มันเล่นบอลแค่อาแปะไม่เห็นเหรอ..
สารพัดเรื่องตลกขบขัน.. แต่เรื่องเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
เกิดขึ้นสวนทางกับความหวังที่กำลังเลือนหาย เกิดขึ้นสวนทางกับเสียงหัวเราะเยาะและการดูถูกกันว่าโลกสวยที่ถูกยัดเยียดให้นั่นแหละ
ถ้าแต้มยังไม่ขาด เยอร์เก้น คล็อปป์ยังไม่ยอมแพ้ นักเตะในทีมยังไม่ยอมแพ้ ผมก็ไม่ยอมแพ้และขอสู้ไปกับพวกเขาด้วย รีบยอมตอนนี้แล้วอีก 6 นัดที่เหลือจะทำอะไรดีล่ะ
---------------
กับเกมรับมือ คริสตัล พาเลซ ผมรู้สึกว่าลิเวอร์พูลเล่นกันซึมไปหน่อยในครึ่งแรก ความตื่นตัวมีน้อยกว่าที่คิดว่าจะได้เห็น
การเล่นเกมรับก็ไม่สร้างความหนักใจให้เกมบุกของทีมเยือนมากพอ ประตูที่เสียก็เกิดขึ้นง่ายเกินไปถูกต่อบอลง่าย ๆ 5-6 ทอดจนบอลไปถึงเส้นหลังได้ผ่านเข้ากลางมายิงโล่ง ๆ
โดนยิงในช่วงที่ยังซึม ๆ มึน ๆ นั่นแหละ
ความผิดพลาดรายบุคคลยังเกิดขึ้นเหมือนเกมแพ้ อตาลันต้า เมื่อวันพฤหัสฯ ความไหลลื่นของเกมสะดุดเป็นระยะจากการผ่านบอลที่หย่อนประสิทธิภาพ ไม่เบาไปก็แรงไปหรือส่งบอลให้กันไม่ตรง
เพียงแต่เกมที่เจอ อตาลันต้า นั้นงานหนักกว่าเพราะทุกคนถูกผู้เล่นทีมเยือนบีบเข้าใส่และประชิดตัวแบบไม่ให้เล่นถนัด แต่เกมนี้นักเตะทีมเยือนปล่อยให้ครองบอลตามสบาย ไม่ตื๊อ ไม่บีบ แค่เล่นอย่างมีวินัย รักษาพื้นที่ไม่ยอมเสียตำแหน่ง แล้วหาโอกาสตอบโต้ยามที่ลิเวอร์พูลจ่ายบอลพลาด
ครึ่งหลังลิเวอร์พูลที่ตามหลังอยู่ยิ่งเน้นกว่าเดิม แต่ไม่ได้โหมบดขยี้ด้วยบอลที่เร็วและดุดันอย่างที่เคยเห็นหลาย ๆ ครั้งเวลาต้องการประตู หากเป็นการผ่านบอลอย่างอดทนหาช่องเข้าทำ
เจ้าถิ่นพยายามดึงผู้เล่นพาเลซให้ขยับขึ้นมาไล่ แต่ลูกทีมของ โอลิเวอร์ กราสเนอร์ ไม่มาทะเลาะด้วย มีสมาธิเล่นตามแผนที่ตั้งใจไว้ ได้เปรียบเรื่องประตูอยู่ไม่จำเป็นต้องไปบู๊ตาม
ลิเวอร์พูลเล่นแบบไม่เสี่ยงผ่านบอลเร็วหรือแทงบอลกล้าได้กล้าเสียเร่งเกม อาจเป็นความเกร็งกับสถานการณ์บีบคั้นก็ได้
แฟนบอลน่ะอึดอัดแน่ แต่อันที่จริงแล้วผลลัพธ์ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายนักเพราะโอกาสได้ประตูชนิด Clear cut หรือ โอกาสทอง ก็มีหลายครั้ง
ทั้งลูกวอลเล่ย์เต็ม ๆ ระยะประชิดของ ดาร์วิน นูนเญซ ลูกยิงของ ดีโอโก้ โชต้า ที่ไม่มีนายทวารขวาง จังหวะหลุดเดี่ยวของ เคอร์ติส โจนส์ หรือลูกยิงจ่อ ๆ ช่วงทดเวลาของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
เหล่านี้คือโอกาสทำประตูในแบบที่ "ต้องได้" ที่มาจากการเล่นวิธีนี้ของลิเวอร์พูลทั้งสิ้น ไม่เพียงเท่านั้นยังมีลูกยิงชนคานของ วาตารุ เอนโด กับลูกพุ่งชาร์จเผาขนของ หลุยส์ ดิอาซ ที่ถูก ดีน เฮนเดอร์สัน ผวาปัดทิ้งเหลือเชื่อในครึ่งแรกอีก
เกมนี้คล็อปป์พยายามเปลี่ยนตัวปรับแท็กติกเต็มที่ ใช้ทุกอย่างเท่าที่มีออกมาแล้ว โดมินิก โซโบซไล แทน เอนโด ตอนพักครึ่ง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แทน คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ ที่เจ็บ โกดี้ คักโป กับ โชต้า แทน ดาร์วิน กับ ดิอาซ ช่วง 25 นาทีสุดท้าย และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ แทน โจนส์ ช่วง 8 นาทีก่อนหมดเวลา
ตัวสำรองมีส่วนร่วมกับเกม สร้างโอกาสทำประตูได้อยู่เหมือนกัน แต่ส่งบอลเข้าประตูไม่ได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งต้องพูดถึงโอกาสของ คริสตัล พาเลซ ด้วยเช่นกันที่การเล่นตั้งรับอย่างมีวินัย ไม่ทิ้งตำแหน่งขึ้นมาวิ่งไล่บอล และการรอดพ้นการเสียประตูที่น่าเสียก็ทำให้ตัวเองยังอยู่ในเกม ทั้งยังฉกฉวยจังหวะเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะเปิดให้สร้างความหวาดเสียวได้อีก
อย่างจังหวะที่ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ลื่นล้มทำให้ ฌ็อง-ฟิลิปป์ มาเตต้า ได้โอกาสทองหลุดเดี่ยวเข้าไปชิพบอลข้ามตัว อลีสซง ก่อนถูก โรเบิร์ตสัน ตามสกัดบนเส้น หรืออีกจังหวะที่ มาเตต้า ได้ยิงแค่ 3 หลาติดมือ อลีสซง หวุดหวิด
ในภาพรวมแล้วลิเวอร์พูลเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่เคยเป็นโดยเฉพาะการประสานงานระหว่างนักเตะในทีม ความไหลลื่นและบอลที่ดุดันหายไป มีความตื่นเต้น ความไม่นิ่งปกคลุมอยู่ การเอาชนะคู่แข่งแบบดวลกันตัวต่อตัวแทบไม่มีให้เห็น
มันเป็นอย่างนี้มา 2 เกมติดต่อกันแล้ว
กระนั้นก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ระหว่าง 2 เกมนี้กับเกมที่เสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนหน้านั้น
เกมเยือนโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทุกอย่างยังดูดีทั้งความเร็ว ความแม่น รูปเกม วิธีเจาะเข้าทำ และโอกาส เพียงแต่ความเด็ดขาดหายไปจึงฆ่ายูไนเต็ดไม่ได้
เห็นอาการของนักเตะลิเวอร์พูลแต่ละคนหลังจบเกมแล้วก็เข้าใจถึงความผิดหวัง ช่วงนี้เป็นช่วงที่ความมั่นใจดูหายไปจริง ๆ และพวกเขาย่อมรู้ดีว่าความพ่ายแพ้เกมนี้เสียหายมากแค่ไหน
แต่ก็นั่นล่ะครับ.. การแข่งขันยังไม่จบ ยังเหลืออีก 6 เกมให้เตะ มีอีก 18 คะแนนให้เก็บ
กับ 2 คะแนนที่ตามหลังอยู่นั้นยังสามารถเอากลับมาได้ ขอเพียงอย่าเพิ่งสูญสิ้นศรัทธาและความพยายาม
ลิเวอร์พูลจะกลับมาได้ไหมและยังเหลือโอกาสแค่ไหน ชัยชนะและการเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูมีความสำคัญที่สุด เพียงแต่ความยากอยู่ตรงที่ต่อให้สามารถกลับมาได้ด้วยการชนะรวดทุกเกมที่เหลือ มันก็อาจจะยังไม่พอ
แต่ยังไม่ต้องคิดกังวลไปถึงตรงนั้นหรอกครับ เวลานี้เอาชนะตัวเองให้ได้ก่อน ดึงโมเมนตัมกลับมาให้เร็วที่สุด แล้วเรื่องของ แมนฯ ซิตี้ ค่อยมาว่ากันอีกที..
ตังกุย