กูนเนอร์ส หลายคนเดินคอตกออกจากสนาม ตอนนั้นมองไปทิศไหนก็พบบรรยากาศที่วังเวง โดยจะยกเว้นก็ตรงมุมประตูด้านตรงข้ามเพรสบ็อกซ์ที่เข็มแข็งไปด้วยบทเพลงจากกองเชียร์ แอสตัน วิลล่า ราวสามพันชีวิต
"Villa Villa Villaaaaa" กระหึ่มหนักแน่นกับผลการแข่งขันที่น้อยคนจะคาดคิด
ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงสถานการณ์ของหัวตารางได้พลิกพัน เริ่มจาก ลิเวอร์พูล ที่แพ้คารังให้ คริสตัล พาเลซ 0-1 ตามด้วย อาร์เซน่อล ที่ก็เหมือนกลัวจะทำแต้มทิ้งห่างเกินไปก็มาเสียท่าใน เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ตามมาติดๆ
เราจะยกมากี่ร้อยเหตุผลก็ได้ถึงวันบ้าๆอย่างเมื่อวันอาทิตย์
ความกดดัน
อาการล้าและเกร็ง
โชคชะตา
แต่แน่นอนก็ต้องยกเครดิตให้กับคู่ต่อสู้ทั้ง โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ กุนซือพาเลซ กับ อูไน เอเมรี่ ของ วิลล่า อย่างรายหลังได้พิสูจน์อีกครั้งถึงฝีมือ ความเก่งกาจเรื่องวางหมาก นี่คือครั้งแรกในศักราช 2024 ที่ทีมตราปืนกระบอกแตกในเกมลีก นี่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้บ่อยที่ อาร์เซน่อล เสียถึงสองลูก(แถมยิงไม่ได้เลย)ในเกมเดียว
ในเวลาเดียวกันแอดมินของแมนฯซิตี้ก็เข้าใจเรื่องจังหวะที่ลงรูปทีมซ้อมเพื่อเตรียมรับมือ เรอัล มาดริด ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกรอบ 8 ทีมนัดสอง ถูกที่สุดว่าเป็นความตั้งใจของแอดมินที่รู้จัก 'ตีเหล็กตอนร้อน'พอรู้สกอร์จากแอนฟิลด์และเอมิเรตส์
โฉมหน้าผู้นำได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง หากผู้นำคนนี้เป็นหน้าเดิมที่กวาดแชมป์มาแล้วสามสมัยติด กำลังไล่ล่าสถิติใหม่สี่สมัยติดต่อกันเป็นทีมแรก
คำถามบนริมฝีปากใครต่อใครก็อ่านได้ว่า "มันจบแล้วหรือยัง? ซิตี้จะได้แชมป์อีกแล้วใช่ไหม?"
เหลืออีกเพียง 6 เกมกับแต้มที่นำอยู่2แต้มย่อมถือว่าไม่ได้มากอะไร ถึงกระนั้นด้วยยี่ห้อเรือใบสีฟ้าก็ย่อมปกติที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าโทรฟี่พรีเมียร์ลีกจะประทับอยู่ที่เดิม นั่นก็คือเอติฮัด สเตเดี้ยม
ย้อนไปเมื่อวันเสาร์ภายหลังต้อน ลูตัน ทาวน์ 5-1เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยิ้มมุมปากให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "นักเตะของผมชอบแรงกดดัน พวกเขาชอบที่เจอความท้าทายไม่ว่าจะอยู่หรือตาย มันไม่ได้หมายความว่าเราจะได้แชมป์แน่นอนแต่เราจะสู้ไปจนถึงวันสุดท้าย"
ใช่ ด้วยคุณภาพของโค้ชกับผู้เล่น ด้วยประสบการณ์ ด้วยความน่ายำเกรงตลอดไปจนบารมีของความเป็นสโมสรหมายเลขหนึ่งแห่งยุคย่อมเป็นไปได้ยากที่จะจินตนาการเป็นอย่างอื่น ฉากจบเดิมๆอีกแล้วใช่ไหมที่มีเพลง BlueMoon แผดลั่น จากนั้นก็มีพลุไฟถูกจุดพร้อมกับขบวนพาเหรดสีฟ้า
จุดแข็งของแมนฯซิตี้อยู่ที่รู้ว่าจังหวะไหนควรเร่งปิดจ็อบ อย่างซีซั่นก่อนเคยทำสถิติชนะรวด 11เกมติด ถอยหลังไปปี 2019 ก็กวาดชัย 13 เกมติดเป็นต้น
ถึงตรงนี้ทุกรายการทีมของเป๊ปก็ไม่แพ้ใครมาตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคมโดยนับรวมก็ 27เกมเข้าให้แล้ว มันเป็นมาตรฐานที่ก็อาจเป็นไปได้ว่าจะรักษาได้จนจบฤดูกาล นั่นก็หมายถึงการเหมาสามถ้วยใหญ่เป็นครั้งที่สอง
อย่างไรก็ตามทั้งหมดคือการคาดการณ์ ความจริงแล้วในโลกของเจ้าลูกกลมๆนั้นมักมีเรื่องดราม่าเกิดขึ้น บางทีดราม่าแล้วดราม่าอีกด้วยซ้ำ ดังนั้นผมยังรู้สึกว่าบนสมรภูมิที่ฟาดฟันกันมาหลายเดือนยังไม่จบโดยง่าย อย่าเพิ่งนับศพทหารเลย
จากโปรแกรมที่แมนฯซิตี้เหลือ6เกมมีดังนี้ ไบร์ทตัน(เยือน), ฟอเรสต์(เยือน), วูล์ฟส์(เหย้า), ฟูแล่ม(เยือน), สเปอร์ส(เยือน)และเวสต์แฮม(เหย้า)
มองผิวเผินย่อมดูว่าไม่น่าเกินความสามารถของทีมเป๊ป
แต่เจาะลึกลงไปแล้วสถิติที่ทีมเรือใบทำได้กับคู่แข่งข้างบนเขียนได้ว่าชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 1
พวกเขาเคยหัวคะมำที่โมลินิวซ์มาแล้วให้ทีมหมาป่าตอนต้นซีซั่น ขณะเดียวกันการไปเยือนเล้าไก่ก็ถือเป็นงานหนักเสมอเพราะพวกเขาไม่เคยทำประตูได้หรือเก็บได้แต้มเลยนับแต่ปี 2018
ดังนั้นสงครามยังไม่จบแน่นอนครับ อีก 6 เกมที่เหลือก็ต้องยกให้แมนฯซิตี้เป็นตัวเต็งแต่ประตูยังเปิดกว้างอยู่ อะไรก็เป็นไปได้เสมอในเกมลูกหนัง
อีกอย่างหนึ่งในรายละเอียดแล้วเป๊ปก็ต้องแก้ปัญหาอยู่ต่อเนื่อง คำเหน็บแนมถึง เอร์ลิ่ง ฮาลันด์ กองหน้าฝีเท้าลีกทูที่ก็ไม่ได้อยู่ในฟอร์มร้อนระอุเฉกปีที่แล้ว สภาพความฟิตของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ดูแล้วคงไม่มีทางลงตัวจริงต่อเนื่องทุกเกม การที่มิดฟิลด์ของทีมอย่างโรดรี้ออกมาพูดว่าอยากพักก็ตีความได้ว่าผู้เล่นซิตี้กรำศึกหนักจริงๆ นอกจากสโมสรก็มีเกมทีมชาติอีก
เชื่อได้เลยไปถาม เจอร์เก้น คล็อปป์ หรือ มิเกล อาร์เตต้า ย่อมได้คำตอบเดียวกันว่า "ยังไม่ถอดใจ จะขอสู้ต่อไปแล้วรอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น"
มันสามารถเป็นการอำลาคล็อปป์ที่ยอดเยี่ยมได้ด้วยถ้วยแชมป์ลีก
มันก็สามารถเป็นเกียรติยศที่อาร์เตต้าเสกให้เหล่ากูนเนอร์สได้สมหวังซะทีกับการรอคอยมาสองทศวรรษเต็ม
ถ้าสุดท้ายเป็นอย่างอื่นก็โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง พวกเขาทั้งสองต่างเคยกำชะตาไว้ในมือตัวเองเหมือนกัน
"ไก่ป่า"