แม้จะรักษาสกอร์นำไม่สำเร็จอย่างน่าตำหนิเป็นเกมที่สองติดต่อกัน แต่อย่างน้อย แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งไม่อาจย้ำแค้น ลิเวอร์พูล ได้สามารถฉุดคู่ปรับตัวฉกาจให้หล่นจากเก้าอี้จ่าฝูงได้อย่างเป็นทางการแล้วในเกมแดงเดือดที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 เม.ย.ซึ่งจบลงอย่างน่าระทึกใจด้วยผลเสมอ 2-2 อันหมายความว่าหาก อาร์เซน่อล ไม่พลาดในอีกเจ็ดนัดที่เหลือ และสามารถรักษาผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่าเอาไว้ได้สำเร็จ พวกเขาก็จะได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นครอบครองเป็นครั้งแรกหลังจากรอกันมานาน 20 ปี
1. ผีมีเสียวแนวรับพิการ
แมนฯ ยูไนเต็ด ประสบกับปัญหาที่น่าเป็นห่วงในแผงหลังเนื่องจาก ราฟาแอล วาราน กับ จอนนี่ อีแวนส์ สองเซ็นเตอร์ฮาล์ฟบาดเจ็บเพิ่มไปด้วยกันทั้งคู่ และไม่สามารถลงเล่นได้
ด้วยเหตุนี้ เอริค เทน ฮาก จึงไม่มีทางเลือกนอกจากส่ง วิลลี่ กัมบวาล่า ปราการหลังเฟรนช์แมนวัย 19 ปีจับคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ แถมต้องใส่ชื่อ แฮร์รี่ อามาสส์ กับ ฮาบีบ โอกุนเนเย่ สองกองหลังวัย 17 และ 18 ปีนั่งเป็นตัวสำรอง
เท่านั้นไม่พอ เจ้าบ้านไม่มี สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ในโผตัวสำรองด้วยเนื่องจากมิดฟิลด์ทีมชาติ สกอตแลนด์ บาดเจ็บ
รวมแล้ว ผีแดง ปรับโผตัวจริงสองรายจากนัดออกไปแพ้ เชลซี 4-3 ในเกม พรีเมียร์ลีก โดยนอกจาก กัมบวาล่า แล้ว มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้กลับมาเล่นเป็นตัวจริงแทน อันโตนี่
พร้อมกันนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ส่งดาวเตะวัยรุ่นออกสตาร์ตเป็นตัวจริงในเกมแดงเดือดมากถึงสามรายเป็นครั้งแรกด้วยเนื่องจาก อเลฮานโดร การ์นาโช่ ,กัมบวาล่า และ ค็อบบี้ เมนู มีอายุ 19 , 19 และ 18 ปี
2. หงส์ปึ๊กจัด11แข้งไม่ซ้ำสัญชาติ
ลิเวอร์พูล บุกมาเยือน โรงละครแห่งความฝัน โดยได้ วาตารุ เอ็นโด กองกลางทีมชาติ ญี่ปุ่น ฟิตสมบูรณ์ลงเล่นเป็นตัวจริงได้
ขณะเดียวกัน หงส์แดง มี แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กับ จาเรลล์ ควานซาห์ อยู่ในโผ 11 คนแรกซึ่งหมายความว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ปรับทัพสามรายจากเกมลีกนัดเปิดบ้านพิชิต เชฟฯ ยูไนเต็ด 3-1
สำหรับสามขุนพลที่หล่นไปนั่งข้างสนามประกอบไปด้วย ไรอัน กราเฟนแบร์ค , โจ โกเมซ และ อิบราฮิม่า โกนาเต้
และที่น่าฮือฮา เร้ด แมชีน ใช้งาน 11 นักเตะในเกมนี้จากสัญชาติที่แตกต่างกันทั้งหมด 11 สัญชาติคือ ไอร์แลนด์ , สกอตแลนด์ , ฮอลแลนด์ , อังกฤษ ,ไอร์แลนด์เหนือ , ฮังการี, ญี่ปุ่น ,อาร์เจนติน่า , โคลอมเบีย ,ฮังการี , อียิปต์ และ อุรุกวัย
3. เกมที่ห่างชั้น
แม้ ลิเวอร์พูล จะบุกมาแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบน่าตกตะลึง และกระเด็นตกรอบแปดทีมถ้วย เอฟเอคัพ แต่พวกเขากลับเจอกับงานที่ง่ายเกินคาดในศึกแดงเดือดเวอร์ชั่น พรีเมียร์ลีก หนล่าสุดนี้หากจะนับเฉพาะเกมใน 45 นาทีแรก
แน่นอน ผีแดง หวิดออกนำก่อนตั้งแต่ต้นเกมจากจังหวะสอยตาข่ายของ การ์นาโช่ แต่เป็นลูกล้ำหน้า และนับจากนั้นเป็นต้นมากระทั่งจบครึ่งแรกปรากฏว่านักเตะของ เทน ฮาก สร้างสถิติที่น่าหดหู่สุดขีดเนื่องจากพวกเขาไม่มีโอกาสง้างไกใส่ทีมเยือนเลยแม้แต่หนเดียว
ฉะนั้นแล้ว จึงบอกได้เลยว่า ลิเวอร์พูล ซึ่งได้ประตูนำจาก หลุยส์ ดิอาซ มีสกอร์น้อยเกินไปเมื่อเทียบกับความห่างชั้นระหว่างสองสโมสรเนื่องจากตัวเลขหลังจบ 45 นาทีแรกบ่งชี้ว่าทีมเจ้าบ้านเป็นรองทุกประตูรูหน้าต่างทั้งการครองบอลที่ เร้ด แมชีน ทำได้ดีกว่าตามคาด 58:42% และได้ยิงรวมกัน 15 ครั้งเข้ากรอบ 4 ครั้ง ขณะที่ ปีศาจแดง มีตัวเลขเป็น 0 และ 0
จากผลงานที่แสนเลวร้ายดังกล่าว ทำให้เป็นอีกเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีโอกาสสับไกในศึก พรีเมียร์ลีก นัดเหย้าช่วงครึ่งแรกเลยแม้แต่หนเดียวถัดจากเกมบู๊กับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อเดือนต.ค.2015
4. โป้งเดียวก็เสียวได้
แม้เกมในครึ่งแรกจะเป็นรอง ลิเวอร์พูล บานตะไท แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด มาได้จุดเปลี่ยนในนาทีที่ 50 ด้วยลูกยิงไกลจากครึ่งสนามของ แฟร์นันด์ส ตีเสมอให้เจ้าบ้านเป็น 1-1 อย่างไม่น่าเชื่อ
จากประตูดังกล่าวทำให้ แฟร์นันด์ส คลำเป้าให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกม พรีเมียร์ลีก ครบ 50 เม็ดพอดีซึ่งถือเป็นประตูที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญของเกมอย่างแท้จริงเนื่องจากช่วง 45 นาทีแรก ทีมเจ้าบ้านไม่ได้ง้างไกเลยแม้แต่หนเดียว กระทั่งสตาร์ทีมชาติ โปรตุเกส มาได้การผ่านบอลเข้ากลางที่ผิดพลาดของ ควานซาห์ ซัดไกลจากครึ่งสนามเข้าประตูได้ซึ่งเป็นการยิงประตูหนแรกในเกมนี้ของ เร้ด เดวิลส์ ด้วย
หลังกดตีเสมอให้แฟนเจ้าบ้านได้เฮลั่น แฟร์นันด์ส ก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อค้าแข้งเลือดฝอยทองรายที่สามที่พังประตูใน พรีเมียร์ลีก ถึงหลักครึ่งร้อยตุงต่อจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (103) และ ดีโอโก้ โชต้า (56)
5. บังโม สร้างสถิติ
นอกจากจะโดน แมนฯ ยูไนเต็ด ตีเสมอแล้ว ลิเวอร์พูล ยังถูกทีมคู่ปรับพลิกแซงนำเป็น 2-1 ด้วยจากลูกยิงที่สุดสวยของ ไมนู เพียงแต่ว่าเจ้าบ้านไม่ดีพอที่จะรักษาสกอร์นำอีกตามเคยโดยเฉพาะ อารอน วาน บิสซาก้า ก่อความผิดพลาดทำเสียลูกโทษในนาทีที่ 84 จนหยิบยื่นโอกาสตีเสมอ 2-2 ให้กับอาคันตุกะ
ก่อนหน้านี้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ แสดงให้เห็นว่าซัดลูกโทษให้ ลิเวอร์พูล ได้อย่างเด็ดขาด แต่หลังจากทีมได้ลูกโทษสำคัญ ดาวเตะทีมชาติ อาร์เจนติน่า ก็มอบหน้าที่ให้กับ โม ซาลาห์ ซึ่งเกมนี้ยิงประตูได้ไม่เฉียบคมมากพอ
อาจเป็นเพราะหัวหอกทีมชาติ อียิปต์ ต้องการสร้างประวัติศาสตร์ในเกมแดงเดือดก็เป็นได้ เขาจึงได้รับโอกาสครั้งสำคัญซึ่งแน่นอนว่า บังโม ทำหน้าที่ได้ไม่ผิดพลาดตีเสมอให้ทีมเยือนเป็น 2-2 พร้อมทั้งสร้างชื่อเป็นนักเตะคนแรกที่พังประตูที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้สี่หนติดต่อกันในเกม พรีเมียร์ลีก
ขณะเดียวกัน หากไม่นับเฉพาะเกมแดงเดือด ดาวยิงวัย 31 ปีมีสถิติสอยตาข่ายใน โรงละครแห่งความฝัน มากเป็นอันดับหนึ่งเหนือ อลัน เชียเรอร์ แล้วจากจำนวน 11 ประตู
สำหรับ ดาร์วิน นูนเญซ บอกได้เลยว่าเขาจำเป็นต้องฝึกซ้อมการคลำเป้าให้มากขึ้นเนื่องจากเกมเสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นอีกครั้งที่หัวหอกทีมชาติ อุรุกวัย ซัดบอลเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาทั้งๆที่โอกาสเปิดกว้างให้ เร้ด แมชีน นำห่างแม้ถึงขณะนี้สตาร์ละตินจะเป็นนักเตะใน พรีเมียร์ลีก ที่ทำแอสซิสต์ในทุกรายการของซีซั่นนี้ได้สูงที่สุด 13 ประตูจากการโขกบอลให้ ดิอาซ ซัดประตูแรกของเกม
และที่สำคัญ ผลเสมอ 2-2 ทำให้โอกาสคว้าแชมป์ลีกของ ลิเวอร์พูล ลดลงตามระเบียบอย่างไม่ต้องสงสัย แถมน่าหนักใจแทนแฟนบอล เดอะ ค็อป ไม่น้อยด้วยเนื่องจากอ็อปต้าคำนวณออกมาหลังเกมแดงเดือดจบลงอย่างน่าฉงนว่า แมนฯ ซิตี้ จะได้แชมป์ไปครองทั้งๆที่ อาร์เซน่อล นำเป็นจ่าฝูงโดยพวกเขาชี้ว่า เรือใบสีฟ้า มีโอกาสครองแชมป์ 40% ตามด้วย ลิเวอร์พูล 31% และ อาร์เซน่อล 29%
ในส่วนของ แมนฯ ยูไนเต็ด แน่นอนว่าหลังครบ 90 นาทีมีสถิติเป็นรองทีมเยือนแม้จะเก็บหนึ่งแต้มได้ก็ตามเนื่องจาก เร้ด แมชีน ครองบอลได้มากกว่า 62:38% และได้ยิง 28 ครั้งเข้ากรอบ 7 ครั้ง ขณะที่เจ้าบ้านได้ยิง 9 ครั้งเข้ากรอบ 5 ครั้งซึ่งตัวเลขโดนยิง 28 ครั้งของ ผีแดง เป็นสถิติที่แย่ที่สุดของพวกเขาในเกม พรีเมียร์ลีก ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด นับตั้งแต่ซีซั่น 2003/04