โลกของเรากลับคืนสู่ความอลหม่านอีกครั้ง หลังเงียบเหงามา 2 สัปดาห์ เมื่อพวกพรี่ๆ เขาเปิดบ้านเชือด ไบรท์ตัน 2-1 แล้วขึ้นนำเป็นจ่าฝูง แถม แมนฯ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล เสมอกันตามความต้องการ
ต่อไปคือสิ่งที่ผมอยากจะบอก
1.กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ ลิเวอร์พูล จะเป็นฝ่ายตามหลังคู่แข่ง ก่อนที่จะค่อยๆ ไล่แซง แล้วเป็นผู้มีชัย ประหนึ่งช้างที่ปีนขึ้นไปบนยอดไม้นั่นแหละ
ไม่มีใครรู้ว่ามันขึ้นไปได้ยังไง แต่ทุกคนรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ตกลงมา 55555
2.หลังจาก ไบรท์ตัน ทะลึ่งยิงนำ 1-0 อย่างรวดเร็วแค่นาทีเศษๆ พลพรรคหงส์แดงก็เข้าสู่โหมด เฮฟวี่ เมทั่ล ฟุตบอล ทันที
คือบีบขึ้นสูงแล้วเพรสซิ่งอย่างหนักหน่วง เพื่อเอาบอลมาครอง
ว่าแล้วก็บุกขย่มผู้มาเยือนแบบไม่ให้หายใจหายคอ เวลาครองบอลบุก พวกเขาจะเล่นในระบบ 2-4-4 เมื่อแบ็คขวาอย่าง คอเนอร์ แบรดลี่ย์ ขยับขึ้นสูงเป็นปีกขวาแบบเต็มตัว ขณะที่แบ็คซ้ายอย่าง โจ 'รับจบ' โกเมซ จะขยับเข้ากลางเป็นมิดฟิลด์
เรียกว่าเล่นเกมรุกอย่างบ้าคลั่ง
3.ปัญหาคือพวกพรี่ๆ เขาใช้โอกาสค่อนข้างเปลืองไปหน่อย
เฉพาะอย่างยิ่ง โม ซาล่าห์ ที่ถูกเด็กหงส์วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในครึ่งแรกว่า...ควรจะใจกว้างมากกว่านี้
แต่สุดท้ายด้วยปริมาณการบุกแล้วหาจังหวะจบได้เป็นระยะ เรารู้กันอยู่แล้วว่าเดี๋ยวดาวเตะผู้นี้ก็จะทำลายจนได้เองนั่นแหละ
4.อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ระเบิดฟอร์มสยดสยองมาก ขับเคลื่อนเกมรุกดุดัน นั่นเพราะมีตัวช่วยให้เขามีอิสระอย่าง วาตารุ เอ็นโด กับ โจ โกเมซ
ส่วนคนที่เงียบไปในเกมนี้คือ ดาร์วิน นูนเญซ
5. เห็น ไบรท์ตัน เล่นแล้ว
พวกเขาพยายามต่อบอลทำชิ่งตามสไตล์ของตัวเองกันมากเกินไปกว่าที่จะตอบโต้ ลิเวอร์พูล ด้วยจังหวะฉาบฉวย ซึ่งน่าจะเหมาะกับสถานการณ์มากกว่า
อย่างไรก็ตาม
นี่คือการยึดมั่นและถือมั่นในสไตล์ของตัวเอง ต่อให้แพ้ก็เป็นความพ่ายแพ้แบบมีสไตล์ ไม่เหมือนบางทีมที่ท้ายฤดูกาลแล้วยังหาสไตล์การเล่นของตัวเองไม่เจอ
คิดแล้วก็เครียด ขอตัวไปแดกยาสลายความเครียด ยี่ห้อลิงกังนั่งชักว่าวยิกๆๆๆๆ ก่อนนะครับ
บอ.บู๋