ในที่สุด จ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ก็เปลี่ยนมืออย่างเป็นทางการแล้วเมื่อ แมนฯ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล กินกันไม่ลง จำต้องแบ่งแต้มกันไปด้วยผลเสมอ 0-0 ในศึกบิ๊กแมตช์ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 มี.ค.ซึ่งส่งผลให้ทีม ปืนใหญ่ หล่นจากบัลลังก์จ่าฝูงโดยมี ลิเวอร์พูล แซงนำหน้าเป็นสองคะแนนซึ่งหมายความว่า หงส์แดง กลายมาเป็นทีมที่มีโอกาสคว้าแชมป์สูงกว่าทั้งทีม เรือใบสีฟ้า และ ท็อปกัน อย่างไม่ต้องสงสัย
1. เรือใบปรับทัพสองตำแหน่ง
แมนฯ ซิตี้ เปลี่ยนโผตัวจริงลงเล่นเกมบิ๊กแมตช์ พรีเมียร์ลีก นัดนี้สองรายเมื่อเทียบกับเกม เอฟเอคัพ รอบแปดทีมนัดเปิดบ้านสยบ นิวคาสเซิ่ล 2-0
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ เรือใบสีฟ้า ขาด ไคล์ วอล์คเกอร์ แบ็คขวาคนสำคัญที่เจ็บมาจากการลงเล่นให้ทีมชาติ อังกฤษ และถูกแทนที่โดย นาธาน อาเก้
ส่วนอีกตำแหน่ง เควิน เดอ บรอยน์ ถูกส่งลงเล่นเป็นตัวจริงโดยที่ เฌเรมี่ โดกู หลุดไปนั่งข้างสนาม
สำหรับ จอห์น สโตนส์ ดาวเตะทีมชาติ อังกฤษ ที่เดี้ยงมาจากเกมทีมชาติเช่นกันมีชื่อนั่งสำรอง ขณะที่ สเตฟาน ออร์เตก้า ยังได้เฝ้าเสาแทน เอแดร์ซอน ที่บาดเจ็บ
ต่อการได้ลงเล่นเกมนี้ทำให้ มานูเอล อาคานจี รับใช้ แมนฯ ซิตี้ ในเกม พรีเมียร์ลีก ครบ 50 นัดพอดี
2. ปืนใหญ่ ชุดเดิมสลับแค่ตัวรุกตำแหน่งเดียว
อาร์เซน่อล ภายใต้การคุมทีมของ มิเกล อาร์เตต้า เปลี่ยนผู้เล่นตำแหน่งเดียวจากเกม แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมนัดสองที่เปิดบ้านเฉือนชนะ เอฟซี ปอร์โต้ 1-0 เมื่อวันที่ 12 มี.ค.
กุนซือสแปนิชตัดสินใจเลือกใช้บริการ กาเบรียล เชซุส อดีตดาวเตะ แมนซิตี้ ให้ลงเล่นแทน เลอันโดร ทรอสซาร์ ซึ่งได้นั่งอยู่ข้างสนาม
ขณะเดียวกัน เดอะ กันเนอร์ส มี บูคาโย่ ซาก้า ออกสตาร์ตด้วยแม้จะบาดเจ็บ และถอนตัวจากการลงเล่นให้ อังกฤษ ในเกมอุ่นแข้งสองนัดโดยเจ้าตัวลงบู๊เป็นตัวจริงให้ต้นสังกัดในเกมลีกเป็นนัดที่ 150 พอดี ขณะที่ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ กองหน้าแซมบ้ามีชื่อเป็นตัวสำรอง
3. ครึ่งแรกกร่อย ครึ่งหลังเสียวไส้
เกมบิ๊กแมตช์ครึ่งแรกที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เป็นไปอย่างตึงเครียดเนื่องจากต่างก็มีมาตรฐานของเกมที่ไม่ต่างกันจึงทำอะไรกันไม่ถนัด และไม่ใช่เกมที่เอนเตอร์เทนแม้ เรือใบสีฟ้า จะครองบอลได้มากกว่า 72:28% แต่ทีม ปืนใหญ่ ไม่ได้เป็นรองเลยสำหรับโอกาสลุ้นยิงประตูสี่ครั้งเท่ากัน และเข้ากรอบแค่ครั้งเดียวเช่นกันมันจึงแสดงให้เห็นว่าทั้งสองทีมทันกันไปหมด และไม่ง่ายแน่สำหรับเจ้าบ้านที่หวังกำชัยชนะเพื่อต่อโอกาสการลุ้นป้องกันแชมป์
นอกจากเกมจะเป็นไปอย่างตึงเครียด แล้ว กวาร์ดิโอล่า กุนซือ แมนฯ ซิตี้ น่าจะเครียดหนักขึ้นอีกเมื่อต้องเปลี่ยน นาธาน อาเก้ ออกจากสนามตั้งแต่กลางครึ่งแรกเนื่องจากดาวเตะทีมชาติ ฮอลแลนด์ มีปัญหาบาดเจ็บ และต้องส่ง ริโก้ ลูอิส ลงเล่นแทน
ด้วยเหตุนี้ แมนฯ ซิตี้ จึงประสบกับความยุ่งเหยิงที่เพิ่มขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายหลังมีอันต้องเสีย วอล์คเกอร์ ไปก่อนแล้ว แถม สโตนส์ ก็มีปัญหาในเรื่องความฟิต แล้วไหน อาเก้ มาเดี้ยงเพิ่มอีกคน มันจึงน่าจะทำให้ทีมมหาเศรษฐีมีแนวรับที่น่าเป็นกังวลในช่วงที่ซีซั่นกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม
อย่างไรก็ดี แม้เกมในครึ่งแรกจะไม่มีอะไรให้ถูกพูดถึง แต่เข้าครึ่งหลังความสนุกเร้าใจมีมากขึ้นเป็นลำดับเมื่อเจ้าบ้านเน้นเดินเกมรุกเต็มสูบ และครองบอลบุกเข้าหาอาคันตุกะอย่างหนัก แต่ทีมจากเมืองกรุงตั้งรับกันได้อย่างแน่นหนา ไม่เปิดโอกาสให้ แมนฯ ซิตี้ ได้คลำเป้าแบบถนัดถนี่เลย
นอกจากนี้ อาร์เซน่อล ซึ่งตั้งรับได้อย่างแข็งแกร่งและเยือกเย็นโดยไม่ก่อความผิดพลาดยังหาโอกาสเล่นเกมโต้กลับได้เช่นกันจึงทำให้เกมเป็นไปอย่างน่าลุ้นตลอดเวลาว่าสุดท้ายทีมไหนที่จะทำสกอร์ได้ แต่ลงเอยแล้วปรากฏว่าไม่มีฝ่ายไหนคว่ำกันลง และเสมอกันไปแบบไร้สกอร์ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เข้าทาง ลิเวอร์พูล ไปเต็มๆ
หลังเกมที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม จบลงมีสถิติเผยออกมาว่า แมนฯ ซิตี้ ครองบอลได้เหนือกว่าถึง 72:28% แต่ก็แทบไม่เกิดประโยชน์อะไรในเมื่อพวกเขาส่งบอลเข้ากรอบได้แค่หนเดียวเท่านั้นจากโอกาสส่องยิง 12 ครั้ง ขณะที่ อาร์เซน่อล ได้ลุ้นเช็กบิล 6 ครั้ง และส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 2 ครั้ง
4.ฮาลันด์ ฟอร์มทรุดกู่ไม่กลับ
แม้จะยังนำเป็นดาวซัลโวของศึก พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ด้วยผลงานจำนวน 18 ประตูจากการลงบู๊ 23 นัด แต่มันชัดเจนว่า เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ จอมถล่มประตูซึ่งมีส่วนสำคัญพา แมนฯ ซิตี้ คว้าทริปเปิ้ลแชมป์เมื่อซีซั่นก่อนฟอร์มตกอย่างแรง และยังกู่ไม่กลับจากผลงานของเขาในเกมดวลกับ อาร์เซน่อล
ไม่เพียงจะเป็นอีกเกมที่ยิงประตูไม่ได้ แต่ศูนย์หน้าร่างยักษ์ร่ายลีลาได้อย่างน่าขัดหูขัดตาตลอดทั้งเกม ไม่ว่าจะเป็นการหาจังหวะยิงที่ไร้พิษสงไปแล้ว แถมการพยายามแสดงความเป็นเจ้าเวหาด้วยการโขกพังประตูก็ดูจะผิดที่ผิดเวลาไปซะหมดจึงทำให้แผงหลังของทีม ปืนใหญ่ ใส่กุญแจมือดาวยิงเจ้าบ้านได้อย่างตลอดรอดฝั่ง
ถึงตอนนี้ ฮาลันด์ เท้าบอดมากถึง 12 จาก 17 นัดหลังแล้วกับการลงเล่นให้ทั้งสโมสร และทีมชาติซึ่งเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าเขาอยู่ในช่วงฟอร์มตกอย่างแท้จริง และเป็นที่พึ่งของทีมเหมือนก่อนไม่ได้ซึ่งถ้าหากว่า กวาร์ดิโอล่า ยังเรียกฟอร์มเก่งของสตาร์ทีมชาติ นอรเวย์ ออกมาไม่ได้โดยเร็ว มันก็จะส่งผลกระทบต่อการพยายามป้องกันโทรฟี่ทั้งสามใบของทีมอย่างแน่นอนที่สุด
5. เกมรับจะทำให้คุณ (อาร์เซน่อล) เป็นแชมป์???
แน่นอนว่า อาร์เซน่อล เสียตำแหน่งจ่าฝูงให้ ลิเวอร์พูล ไปแล้วจากการลงสนาม 29 นัดเท่ากัน แต่บอกได้เลยว่าไม่ใช่ว่าทีมของ อาร์เตต้า จะแผ่วปลายเหมือนซีซั่นก่อนเนื่องจากการบุกมาแบ่งแต้มไปจาก แมนฯ ซิตี้ เกมนี้ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า เดอะ กันเนอร์ส มีแผงหลังอย่างหนาขนานแท้
และที่สำคัญ อาร์เตต้า ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมด้วยว่าพอใจผลเสมอเนื่องจากการบุกมาเยือน เรือใบสีฟ้า โดยไม่เสียประตูเป็นเรื่องยากมหันต์ และมันพิสูจน์ให้เห็นว่าแผงหลังของเขาเอาอยู่จริง
ถึงขณะนี้ เดอะ กันเนอร์ส ยังเป็นทีมใน พรีเมียร์ลีก ที่เสียประตูน้อยที่สุดในซีซั่นนี้ 24 ประตู น้อยกว่า ลิเวอร์พูล 3 ประตู และ แมนฯ ซิตี้ 4 ประตู แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาตามหลัง หงส์แดง 2 แต้มแล้วซึ่งถือเป็นเรื่องเสียหาย
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่กุนซือคนไหนจะพาทีมบุกมาเก็บสามแต้มที่ เอติฮัด ได้ มันจึงทำให้ อาร์เตต้า แฮปปี้กับผลลัพธ์ซึ่งหมายความว่าพวกเขาคว้าคลีนชีตกับ เรือใบสีฟ้า ในเกมลีกซีซั่นนี้ได้ทั้งสองนัด และเป็นทีมที่สี่ในลีกที่ไม่เสียประตูให้กับทีมของ กวาร์ดิโอล่า ในซีซั่นเดียวกันทั้งสองนัดถัดจาก โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค 2014/14, แมนฯ ยูไนเต็ด 2020/21 และ คริสตัล พาเลซ 2021/22
ขณะเดียวกัน แมนฯ ซิตี้ สอยตาข่ายเกม พรีเมียร์ลีก ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ไม่ได้เป็นเกมแรกนับตั้งแต่แพ้ คริสตัล พาเลซ 2-0 เมื่อเดือนต.ค.2021 โดยก่อนเจ๊ากับทีม ปืนใหญ่ ในเกมล่าสุด พวกเขาพังประตูเกมลีกนัดเหย้าได้ติดต่อกัน 47 นัด
ด้วยเหตุนี้ บางที อาร์เซน่อล อาจนึกฝันถึงวลีเด็ดของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ว่า "เกมรุกทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์" ได้เช่นกันเนื่องจากซีซั่นนี้ทีมจากเมืองกรุงมีแผงหลังอย่างหนาที่แท้ทรู
แต่ก็นั่นแหละ หากอยากได้แชมป์ อาร์เซน่อล ก็ต้องลองถามใจ ลิเวอร์พูล ดูก่อนว่าพวกเขาจะยินดียื่นเก้าอี้จ่าฝูงคืนให้หรือเปล่าหลังจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ พา เครื่องจักสีแดง แซงนำได้แล้วในอีก 9 นัดสุดท้ายที่เหลือ