"บ้าไปแล้ว" คือคำที่ถูกใช้ตามสื่อต่าง ๆ ตอนที่ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ประกาศว่าพวกเขาตัดสินใจให้ รูเบน อโมริม กุนซือหนุ่มจาก บราก้า เข้ามาเป็นเทรนเนอร์คนใหม่เมื่อ 4 ปีก่อน
และเกิดคำถามว่า ทำไมทีมอย่าง สปอร์ติ้ง ถึงยอมจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินเกิน 10 ล้านยูโร เพียงเพื่อจะนำกุนซือวัย 35 ปีมาเป็นนายใหญ่คนใหม่ ทั้งที่เขามีประสบการณ์ด้านการคุมทีมในลีกสูงสุดไม่ถึง 6 เดือน แถมเป็นการจ่ายเงินเพื่อตัวกุนซือที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของวงการฟุตบอลโปรตุเกส
ตอนนั้นขนาด หลุยส์ ฟิโก้ ยังแสดงความกังขาถึงการแต่งตั้งครั้งนี้
เขาบอกว่า โชเซ่ อัลวาลาเด้ สเตเดี้ยม มักจะเป็นเหมือนสุสานสำหรับคนเป็นผู้จัดการทีม และกล่าวว่าการเอา อโมริม มาคุมเป็นการตัดสินใจที่ "บ้าไปแล้ว"
อย่างไรก็ตาม 4 ปีต่อมา สิ่งเดียวที่พอจะเข้าข่ายกับประโยค "บ้าไปแล้ว" ได้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ อโมริม ยังไม่ได้ไปทำงานกับหนึ่งในทีมยักษ์ใหญ่ยุโรปสักที ทั้งที่เขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยม
อโมริม ทำคะแนนได้สูงในการรวบรวมข้อมูลจากฝั่ง ลิเวอร์พูล และน่าจะถูกเชิญให้มาทำการสัมภาษณ์งานสำหรับตำแหน่งผู้จัดการทีมที่กำลังจะว่างลงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ตามกระบวนการด้านการจ้างงานที่ส่วนหนึ่งทำโดย วิลล์ สเปียร์แมน หัวหน้าฝ่ายสำรวจ ซึ่งจบปรัชญาดุษฎีบัณฑิตสาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด อโมริม มีตัวเลขที่ดีมาก ๆ ในผลงานด้าน จำนวนประตูที่น่าจะเกิดขึ้น เขาทำได้ยอดเยี่ยมมาก ๆ เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ว่า มีงบประมาณที่จำกัด หากเทียบกับ เบนฟิก้า และ ปอร์โต้
อโมริม มีสไตล์ต่างจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็จริง แต่มันก็ตรงกับการที่ ลิเวอร์พูล ต้องการให้ทีมมีรูปแบบการเล่นที่เน้นเกมรุกอันน่าตื่นตาตื่นใจ
ขณะที่ เดลี่ เมล เชื่อว่าฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ส่งแมวมองไปดูเกม สปอร์ติ้ง หลายต่อหลายครั้ง
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ เริ่มชัดเจนแล้วว่า ลิเวอร์พูล ไม่ประสบความสำเร็จในการดึง ชาบี อลอนโซ่ มาเป็นกุนซือคนใหม่
และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ อโมริม กลายเป็นตัวเต็งอันดับ 1 ที่จะได้นั่งเก้าอี้นายใหญ่ ลิเวอร์พูล
...
อโมริม เคยถูกถามว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นแบบอย่างของเขาหรือไม่ และถึงแม้เขาจะบอกว่า กวาร์ดิโอล่า เป็นโค้ชที่เก่งที่สุดของโลก แต่เขาก็ตอบว่า "แบบอย่างในการคุมทีมของผมคือ มูรินโญ่ มาโดยตลอด"
เขาเข้าเรียนคอร์สการเป็นโค้ชที่ ฟาคัลตี้ ออฟ ฮิวแมน คิเนติคส์ ที่มหาวิทยาลัยในกรุงลิสบอน ซึ่งคนที่มาให้การอบรมในคอร์สเหล่านั้นมีทั้ง มูรินโญ่ และ อันโตนิโอ เวโลโซ่ ที่เคยพา เบนฟิก้า ได้แชมป์ลีก 7 หนในช่วงทศวรรษ 1980
พวกเขาทั้งสามคนติดต่อหากันมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่ได้เป็นแบบอาจารย์กับลูกศิษย์แล้วก็ตาม
ตอนที่ สปอร์ติ้ง ของ อโมริม เขี่ย อาร์เซน่อล ตกรอบ ยูโรปา ลีก ในปี 2023 มูรินโญ่ รีบส่งข้อความแสดงความยินดีกับเขาผ่านทาง WhatsApp
"มูรินโญ่ รุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ยังอยู่ในถ้วยนี้อยู่ทั้งคู่" มูรินโญ่ พูดแบบติดตลกในช่วงเวลานั้น ซึ่งเป็นตอนที่ มูรินโญ่ ยังเป็นกุนซือ โรม่า
แล้วพอถูกถามว่า มูรินโญ่ มีด้านไหนที่เหมือนกัน อโมริม ก็พูดถึงไอดอลของตัวเองว่า
"คนแบบ มูรินโญ่ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น มันจะไม่มีคนแบบ มูรินโญ่ เกิดขึ้นมาในโลกนี้อีกแน่นอน มูรินโญ่ คือคนที่พิเศษ"
ทุกคนที่รู้จัก อโมริม เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานไปจนถึงเหล่าผู้เชี่ยวชาญของวงการฟุตบอลโปรตุเกส ต่างบอกว่าเขามีแท็กติกที่โดดเด่นและพูดปลุกใจคนได้เก่ง
แต่สิ่งที่หลายคนชมเขามากที่สุดคือเรื่องทัศนคติ
...
มีเพจบนโซเชียลมีเดียที่สร้างขึ้นมาเพื่อนับถอยหลังรอให้ถึงงานแถลงข่าวครั้งต่อไปของ อโมริม โดยเฉพาะ
อโมริม เหมือนกับไอดอลของเขาอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ นั่นคือเชื่อว่าการแข่งขันไม่ได้เริ่มต้นกันตอนที่ทั้ง 2 ทีมเดินลงสนาม แต่เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่พูดกับสื่อ ซึ่งเขาก็มักจะใช้คำที่ดุดันอยู่บ่อย ๆ
บางคนให้คำนิยามเขาว่าเป็น "ปรมาจารย์ด้านการพูดยั่วยุ" เพื่อพยายามทำให้ทีมตัวเองได้เปรียบคู่แข่งตั้งแต่ก่อนถึงวันแข่งขัน
ว่ากันว่าลูกทีมของเขารับฟังและเอาใจใส่กับคำพูดทุกคำ เป็นเหมือนช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้บรรดาผู้เล่น
แต่สำหรับบรรดาคู่แข่งนั้น คำพูดของ อโมริม อาจถูกมองว่าเป็นการดูถูก
"เขาเป็นนักสื่อสารที่ยอดเยี่ยม" ทอม คุนเดิร์ท ผู้เชี่ยวชาญด้านวงการฟุตบอลโปรตุเกส ระบุ โดยเขาเขียนหนังสือเอาไว้ 2 เล่ม และมีเว็บไซต์ชื่อ PortuGOAL เป็นของตัวเองด้วย
"ในงานแถลงข่าวเขาเป็นคนที่พร้อมพูดทุกเรื่อง เขายินดีที่จะตอบทุกคำถาม แม้กระทั่งคำถามที่ฟังดูเป็นคำถามโง่ ๆ และเขาก็ตอบแบบมีความรู้ด้วย"
"เขามีบุคลิกที่ร่าเริงอยู่เสมอเช่นกัน แม้ว่าจะเป็นตอนที่เจอกับความกดดันอย่างหนักก็ตาม"
"เขาเป็นหนึ่งในโค้ชที่ทำให้เกิดสปิริตที่ยอดเยี่ยมกับทีมได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการพูดของเขา"
...
แหล่งข่าวในกรุงลิสบอน บอกว่า อโมริม กำลังมีความสุขกับการทำงานที่ สปอร์ติ้ง และจำเป็นต้องใช้ข้อเสนอที่สมบูรณ์แบบเท่านั้นจึงจะสามารถโน้มน้าวใจให้เขาไปทำงานในต่างแดนได้
ซึ่งที่จริงตอนช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2023 สเปอร์ส ก็เคยพยายามกล่อมไปคุมทีมแทน อันโตนิโอ คอนเต้ เช่นกัน
"ผมเคยเห็นโค้ชหลายคนที่ย้ายไปคุมทีมในลีกอื่น แต่สุดท้ายก็ไม่มีความสุขเท่ากับตอนอยู่กับทีมเก่า" อโมริม เคยให้สัมภาษณ์แบบนั้นกับ ดิอาริโอ เดอ โนติซิอาส เมื่อช่วงซัมเมอร์ ปีก่อน
"ผมอยากรุ้ว่าตัวเองมีคุณค่าอยู่ในระดับไหน แน่นอน ผมมีการเจรจากับทีมอื่นอยู่บ้าง สปอร์ติ้ง ก็รู้ถึงเรื่องนั้นเป็นอย่างดี แต่ผมอยากจะอยู่กับทีมต่อไปเพราะผมชอบอยู่ที่นี่"
"มันน่าสนใจนะที่บางคนมองว่าแผนของผมเป็นแผนที่เน้นเกมรับเป็นหลัก จากการที่ 2 วิงแบ็กของทีมจะประจำการอยู่ในแนวหลังเพื่อทำให้เกิดแนวรับที่มี 5 คน และในฤดูกาลที่ สปอร์ติ้ง ได้แชมป์ลีกน่ะ มันก็มีรากฐานมาจากการที่ทีมมีเกมรับอันเหนียวแน่น"
...
ไม่ว่าเขาจะไปทำงานกับที่ไหน อโมริม ก็มักจะขอดึงทีมงานของตัวเองมาทำงานด้วย
หนึ่งในนั้นคือ คาร์ลอส แฟร์นันด์ส ชายวัย 29 ปีที่ถูกยกให้เป็น -สำหรับ อโมริม เขาเหมือนเป็น มูรินโญ่ ตอนที่อยู่กับ บ็อบบี้ ร็อบสัน เลย-
ขณะที่หลังจากที่พาทีมได้แชมป์ลีกมาครอบครอง อโมริม ได้พาทีมสตาฟฟ์ทุกคนมาอยู่ข้าง ๆ เขาในงานแถลงข่าวหลังจบเกม
แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล ชื่นชอบในตัว อโมริม เช่นเดียวกับ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ แต่อันดับแรกนั้นเขาต้องพา สปอร์ติ้ง คว้าแชมป์ลีกในซีซั่นนี้ให้ได้เสียก่อน
วันที่ 6 เมษายนนี้มีเกม ลิสบอน ดาร์บี้แมตช์ กับ เบนฟิก้า รออยู่
เขาอาจจะไม่ใช่คนที่พูดเยอะเหมือนมูรินโญ่ แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า เดอะ สเปเชียล วัน เวอร์ชั่น 2.0 กำลังจะไปทำงานกับทีมใหญ่ ยุโรป แล้ว
เรียบเรียงจาก Daily Mail
HOSSALONSO