อันที่จริงแฟนบอลไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองที่เหมาะสมของนักฟุตบอลที่ลงไปทำหน้าที่แทนพวกเขา
ถ้าลงไปเล่นเองได้ก็ลงไปแล้ว.. แต่เพราะเล่นไม่ได้ ตัวเองไม่ได้มีทักษะด้านฟุตบอลในระดับแข่งขัน ยังมีอาชีพการงานอย่างอื่นต้องทำ จึงต้องพึ่งนักฟุตบอลให้เป็นตัวแทนทำหน้าที่เพื่อสโมสรที่พวกเขารัก
ผมเชื่อว่าโดยพื้นฐานแล้วแฟนบอลเข้าใจดีถึงเกมกีฬา มีแพ้ มีชนะ เล่นดีแล้วแพ้ หรือเล่นแย่แต่ชนะก็ได้เห็นบ่อย ๆ สิ่งสำคัญที่มีความหมายสำหรับพวกเขานอกจากผลการแข่งขันแล้วก็อาจเป็นเรื่องความภาคภูมิใจอื่นที่จะพึงมีนั่นแหละ
ความภาคภูมิใจที่ได้เห็นสโมสรเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ภาคภูมิใจที่ได้เห็นแนวทางการทำงานของสโมสรที่เป็นแบบอย่างความสำเร็จ ความภูมิใจที่ได้เห็นทีมมีผู้จัดการทีมที่ดี เป็นที่ต้องการของทีมอื่น ๆ
ความภูมิใจที่ได้เห็นแนวทางการเล่นที่เป็นบวก สร้างสรรค์จรรโลงวงการ ได้รับการชื่นชม ความภูมิใจที่ได้เห็นนักเตะของทีมทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เก่งกาจเป็นนักฟุตบอลระดับโลก
รวมถึงความภูมิใจที่ได้เห็นนักฟุตบอลเหล่านั้นถลกแขนเสื้อสู้ยิบตาเพื่อตราสโมสร ทุ่มเทถวายชีวิตให้ความสำเร็จของสโมสร เสียสละให้ทีมมากกว่าประโยชน์หรือความสุขสบายส่วนตัว
การตอบสนองในสนามฟุตบอลคือสิ่งที่ทุกคนเห็น แน่นอนมันไม่สามารถตัดสินทุกอย่างได้แต่มันก็เป็นภาพสะท้อนความรู้สึกในเบื้องต้นที่ชัดเจนที่สุด
นักเตะที่ดูเหยาะแหยะ ไม่วิ่ง ไม่ไล่บอลในจังหวะที่ควรไล่ อาจมีเหตุผลรองรับที่เราควรจะเผื่อพื้นที่ให้กับพวกเขาด้วย เจ็บ ไม่ฟิต หรือโค้ชสั่งให้สงวนพละกำลังเอาไว้ เป็นไปได้ทั้งนั้น เราไม่อาจตราหน้าพวกเขาได้เพียงการเห็นแค่นั้นได้หรอกว่าไม่รักสโมสรหรือไม่ทุ่มเท
แต่ในเชิงความรู้สึก ถ้าได้เห็นอย่างนั้นจะให้แฟนบอลรู้สึกว่านักเตะคนนั้น ๆ มุ่งมั่นทุ่มเทมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ทีมก็คงไม่ใช่เช่นกัน
การแสดงออกในสนามคือภาพแรกที่ทุกคนได้เห็น แน่นอนมันตัดสินนิสัยใจคอกันไม่ได้แต่มันก่อให้เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาได้
นักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถูกตั้งคำถามในเรื่องนี้บ่อยครั้ง เพราะภาษากายในสนามไม่ดีเอาเสียเลย ยิ่งเกมไหนที่เป็นฝ่ายแพ้ด้วยแล้วพฤติกรรมในสนามเหล่านั้นก็จะยิ่งถูกยกขึ้นมาพูดถึงด้วยความเคืองโกรธ
ยืนดูคู่ต่อสู้ต่อบอล วิ่งเหยาะ ๆ เหมือนไม่ตั้งใจสกัด ตื่นตระหนกรวบรวมสติไม่ได้ แสดงออกถึงการยอมแล้ว ไม่ไล่บอลแล้ว อยากให้กรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาเร็ว ๆ แล้ว
ภาพต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเจ็บปวด มันเจ็บปวดยิ่งกว่าการได้เห็นทีมแพ้เสียอีก
แพ้เพราะสู้เต็มที่วิ่งจนหมดกำลังแล้วกับแพ้ในสภาพที่สัมผัสได้ถึงหัวจิตหัวใจเลยว่ายอมนั้นให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน
แพ้เหมือนกัน แต่รู้สึกเจ็บกับมันไม่เหมือนกัน
ยกเอาเกมแดงเดือดที่เพิ่งผ่านไปเมื่อวันอาทิตย์ขึ้นมาก็ได้ ต่อให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จบเกมด้วยความพ่ายแพ้ ผมก็เชื่อว่าสาวกปีศาจแดงทั้งในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และทั่วโลกก็พร้อมจะลุกขึ้นยืนปรบมือให้
เพราะการแสดงออกในสนามของนักเตะทุกคนนั้นสู้สุดใจจริง ๆ พยายามแล้วพยายามอีกไม่ยอมแพ้แม้อยู่ในสถานการณ์ที่ชวนให้ท้อถอย ทั้งโดนแซงนำ 1-2 และถูกตะบันหนีดื้อ ๆ 2-3 ในช่วงที่ตัวเองกำลังควบคุมสถานการณ์ได้มากกว่า
แตกต่างมากมายไหมกับความปราชัยที่มีต่อ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในหลาย ๆ เกมช่วงหลังที่ไม่เจอบอลและหมดแรงใจแล้วที่จะไล่แย่งบอล
จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ทว่าแฟนบอลตัดสินความทุ่มเทของผู้เล่นด้วยภาษากายที่พวกเขาแสดงออกมา ง่าย ๆ แค่นั้น ไม่ได้ซับซ้อนอะไร
ชัยชนะเหนือลิเวอร์พูลในเกมเอฟเอ คัพ เมื่อวันอาทิตย์จึงเป็นความภาคภูมิใจคูณสองเพราะไม่เพียงเป็นการลบคำสบประมาททั้งหลายที่มีต่อทีมของพวกเขาก่อนเริ่มเกมเท่านั้น แต่ยังเป็นการเอาชนะคู่ปรับตลอดกาลที่เวลานี้อยู่ในมาตรฐานที่เหนือกว่า ด้วยผลงานการเล่นทุ่มเทช่วยกันอย่างน่าประทับใจตลอด 120 นาทีของเกมด้วย
เห็นนักเตะสู้ยิบตา ล้มกลิ้งคลุกคลานก็ยังลุกขึ้นมาสู้ใหม่ พยายามจนวินาทีสุดท้ายไม่ยอมแพ้ แคแร็กเตอร์นักสู้อย่างนี้ทำให้หลายคนเสียน้ำตา มันเป็นน้ำตาแห่งความภูมิใจ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเข้าสู่ปี 2024 มีอะไรที่น่าสนใจเยอะมาก ทั้งเรื่องผลการแข่งขันในสนามและการปรับโครงสร้างใหม่นอกสนาม
การเข้ามาของ เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ เพื่อดูแลด้านฟุตบอลทั้งหมดของสโมสร การดึงบุคลากรฝีมือดีในวงการเข้ามาร่วมกันทำงานในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นทั้งในหมู่คนในสโมสรเองและคนนอกสโมสร
ผลงานในสนามก็เป็นใจให้มากขึ้นเรื่อย ๆ เอริค เทน ฮาก กับทีมของเขาเริ่มต้นปี 2024 ด้วยการชนะ 6 เสมอ 1 ใน 7 เกมแรกและล่าสุดเพิ่งลงเตะเกมที่ 12 ในทุกรายการไป กำชัยได้ถึง 9 เกมและแพ้เพียง 2 นัด (ฟูแล่ม กับ แมนฯ ซิตี้) เท่านั้น
แตกต่างจากความไม่สม่ำเสมอช่วงครึ่งฤดูกาลแรกที่ชนะ 2 นัดติดแล้วมาแพ้ 3 นัดติด ชนะ 3 นัดติดแล้วก็มาแพ้ 2 นัดติด หรือชนะแล้วแพ้ แพ้แล้วชนะ สลับไปสลับมาจนน่าเวียนหัวมาก
ผลการแข่งขันเมื่อเข้าสู่ปี 2024 แน่นอนขึ้น ชนะได้ต่อเนื่องขึ้น แพ้ยากขึ้น แม้รายละเอียดในบางเกมจะยังไม่ดีนัก หลายเกมชนะแบบหืดจับทำตัวเองให้ลำบากโดยใช่เหตุก็ตาม แต่ผลการแข่งขันสามารถเป็นเกราะป้องกันคุณได้
เมื่อผลการแข่งขันเริ่มเข้าที่และเรื่องนอกสนามทำให้สโมสรเดินหน้าสู่ความมั่นคง บรรยากาศความเชื่อมั่นก็เริ่มเข้ามาปกคลุม แน่นอนฤดูกาลยังไม่จบและ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังต้องพิสูจน์ความสม่ำเสมอให้เห็นว่าพวกเขาสลัดความไม่คงเส้นคงวาออกไปได้แล้ว
นักเตะตัวหลักที่เจ็บเริ่มทยอยกลับมาลงสนามได้ เกมล่าสุดกับลิเวอร์พูลทั้ง ราสมุส ฮอยลุนด์ แอรอน วาน บิสซาก้า และ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ฟิตคืนสนามได้ทั้งหมดย่อมทำให้การทำงานของ เทน ฮาก สะดวกมือขึ้น
นักเตะหลายคนก็เริ่มเป็นที่ยอมรับของแฟนบอล ความกดดันไม่โถมใส่มากมายเหมือนตอนแรก อังเดร โอนาน่า เห็นชัดที่สุด เวลานี้ผู้รักษาประตูชาวแคเมอรูนเหนียวหนึบไม่มีผิดพลาดแบบเข้าตาให้เห็นทั้งยังมีการใช้เท้าเป็นจุดเด่นเหมือนเดิม
บอลจากเท้าของโอนาน่าดีจริง ๆ นะครับ แรง ไกล และแม่นยำ หรือจะเป็นการมีส่วนร่วมเล่นในการตั้งเกมจากแดนหลังก็ทำได้อย่างมั่นใจ ไม่ค่อยเห็นความผิดพลาดแล้ว
การเปลี่ยนตัวก็เช่นกัน เมื่อผลการแข่งขันเริ่มเป็นใจ นักเตะตัวหลักเริ่มทยอยหายเจ็บกลับมาช่วยทีม เก้าอี้ผู้จัดการทีมเริ่มมั่นคง เทน ฮาก ก็กล้าตัดสินใจในบางเรื่องง่ายขึ้น
เกมแดงเดือดเอฟเอ คัพ เห็นเรื่องนี้ชัดมาก เปลี่ยนกองหลังแทนกองหน้า เปลี่ยนบทบาทลูกทีมโยกย้ายตำแหน่งสนุกมือ
ช่วงท้าย บรูโน่ แฟร์นันด์ส ลงไปเล่นเซนเตอร์แบ๊ก อันโตนี่ถอยไปเล่นแบ๊กซ้าย แม็กไกวร์วิ่งขึ้นลงไปช่วยเล่นเป็นกองหน้าตัวพิเศษ และผลลัพธ์คือทีมยิงลิเวอร์พูลได้ 4 ประตูปาดหน้าเข้ารอบรองชนะเลิศ
แน่นอนครับสถานการณ์บังคับเพราะเป็นรองในเกมก็ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเป็นช่วงที่ เทน ฮาก ยังถูกกดดันหนัก ๆ จากผลงานที่ไม่ดี หรือนักเตะยังเจ็บมีให้เลือกใช้ไม่มากนัก เขาอาจไม่กล้าทำอะไรห่าม ๆ แบบนี้ก็ได้
เมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัวขึ้น มั่นคงขึ้นทั้งเรื่องในสนามและนอกสนาม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงน่าจับตามองไม่น้อยว่าพวกเขาจะทำได้ดีแค่ไหน
จะทำได้ดีแค่ไหนทั้งกับเป้าหมายระยะสั้นแชมป์เอฟเอ คัพ กับอันดับ 4 พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้.. และเป้าหมายระยะยาวหลังจากนี้
ตังกุย
#จากคอลัมน์กรุ่นกลิ่นหมึก
#หนังสือพิมพ์สตาร์ซอคเก้อร์รายวัน ฉบับวางแผงวันพุธที่ 20 มี.ค. 2567