ครั้งแรกนับแต่ปี 2014 ที่มีช่องว่างห่างเพียงแต้มเดียว กับทีมสามอันดับแรก หลังการต่อสู้ผ่านมาครบ 28 เกมเป็นที่เรียบร้อย
คำถามเบสิคที่ตอบไม่เคยง่ายก็คือสุดท้ายใครกันจะได้ชูโทรฟี่?
ก็ทั้งสามทีมที่นำหัวตารางล้วนมีจุดแข็งของตัวเอง แน่นอนก็มีจุดบอดที่อาจจะทำให้ความฝันพังลง ดังนั้นงานวันนี้จึงเน้นไปที่วิเคราะห์เพื่อให้เห็นภาพครบทุกมุมของทั้ง อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้
ยกตัวอย่างที่มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเอาสถิติกับฟอร์มมาคำนวนได้เผยทัศนะไว้ล่าสุด "อาร์เซน่อล เหลืออีก 6 แมตช์ที่ต้องเจอทีมกลุ่มครึ่งบนของตารางโดย 5 ในนั้นต้องไปเยือน ขณะที่ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล นั้นเหลืออีก 6 เกมเหมือนกันแต่ซิตี้เล่นในบ้านไปแล้ว 4 เกม ส่วน ลิเวอร์พูล นั้นมีครึ่งนึงในนั้น"
อาร์เซน่อล 64 แต้ม ได้เสีย +46 อันดับเฉลี่ยคู่แข่งที่เหลือ 9
ผลงานชนะแปดเกมรวดในลีกนับแต่ขึ้นปีใหม่มาทำให้สโมสรตราปืนผงาดนำจ่าฝูงของลีกได้แบบที่ทำให้บางคนประหลาดใจ เหตุผลก็เพราะก่อนหน้านั้นพวกเขาเหมือนว่าจะหลุดเส้นทางไปแล้วหลังจากเก็บได้แค่4แต้มเท่านั้นจากห้าเกม
อธิบายจากตรงนี้ก็เท่ากับว่าทีมของ มิเกล อาร์เตต้า มีการพัฒนาขึ้นมาจากซีซั่นที่แล้ว ไม่ใช่ว่าไปแล้วไปเลย ไม่ใช่ว่าเป็นทีมคนหนุ่มที่อ่อนหัดประสบการณ์
คำว่า 'mentality' สำคัญเสมอในเกมฟุตบอล ใครที่อยากชนะ ใครที่อยากประสบความสำเร็จจำเป็นยิ่งต้องมีสิ่งนี้
อย่างหนึ่งต้องให้เครดิต อาร์เตต้า กับทีมงานที่เรียนรู้ข้อผิดพลาดมาแก้ไข แท็กติกของทีมก็หลากหลายขึ้น ทีมก็ยิงประตูได้เยอะโดยที่ไมีจำเป็นต้องมีกองหน้าตัวเป้าคนใหม่เข้ามา เหนืออื่นใดเกมรับต่างหากกลายเป็นจุดแข็งที่สุดของทีมชุดนี้
ผ่านมา 28 เกมเสียไปแค่ 24 ลูก น้อยที่สุดของลีกโดยที่แผงหลังก็แทบจะชุดเดิม การบาดเจ็บไปของ โอเล็กซานเดอร์ ชินเชนโก้ ไม่ได้ส่งผล
ใช่ที่สุดว่าการได้ เดแคลน ไรซ์ มาปักหลักอยู่หน้าเกมรับช่วยได้เยอะ ประโยชน์ของดาวเตะทีมชาติอังกฤษวัย 25 ก็ยังมีมากกว่านั้น ในแง่ของเกมรุกก็ยังเติมมาทำประตูได้รวมถึงลูกเซตพีซ
อย่างไรก็ตามจากโปรแกรมที่เหลืออยู่ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขามีงานยากกว่าทั้ง หงส์ และ เรือใบ การต้องไปเยือน เอติฮัด, ท็อตแน่ม สเตเดี้ยม และ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด จะเป็นด่านสำคัญ
ลิเวอร์พูล 64 แต้ม ได้เสีย+39 อันดับเฉลี่ยคู่แข่งที่เหลือ 10
ว่ากันว่าผลเสมอกับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อวันอาทิตย์ถือเป็นชัยชนะของพวกเขา ลิเวอร์พูล ก็ในเรื่องของสภาพจิตใจนั้นย่อมพองฟูมากกว่า เกมที่ตามไปก่อนแต่ก็บดขยี้จนได้แต้ม ไหนจะประเด็นปัญหาเรื่องควรได้ลูกโทษตอนทดเวลาบาดเจ็บอีก
"ถ้าจะมีสิ่งใดที่ทำให้ลิเวอร์พูลได้แชมป์ก็อยู่ที่ความเชื่อล้วนๆ"นักข่าวสายเมอร์ซี่ย์ไซด์รายหนึ่งได้บอกเอาไว้
ตัวเจ็บ?
ตัวไม่ฟิต?
กรำศึกสี่รายการ?
เพราะความเชื่อต่อทีม, ต่อนักเตะและต่อโค้ชเจอร์เก้น คล็อปป์จึงทำให้ได้ถ้วยคาราบาวใบแรกมาแล้ว ก็เหมือนกับหลายๆนาทีที่แอนฟิลด์กับซิตี้นั่นแหละ ภาพรวมอาจเป็นรองแต่ความเชื่อเท่านั้นที่ทำให้ผ่านออกมาได้
การเตะในรังต่อหน้า เดอะ ค็อป ถือเป็นจุดแข็งของทีมๆนี้ จากตรงนี้เมื่อมองไปแล้วก็มีโอกาสสูงที่จะชนะรวดเกมเหย้า ที่เหลือก็อาจต้องลุ้นนัดเยือนเท่านั้นที่จะมีหนักหน่อยก็ออกไปเจอ แมนฯยูไนเต็ด กับ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งทั้งสองย่อมไม่ยอมง่ายๆในฐานะเกมศักดิ์ศรี
นอกจากนั้นสภาพทีมที่ไม่สมบูรณ์ ตัวหลักอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ดีโอโก้ โชต้า กับ อลิสซง ยังต้องพักต่อไป
แมนฯ ซิตี้ 63 แต้ม ได้เสีย+35 อันดับเฉลี่ยคู่แข่งที่เหลือ 9.5
ถึงตรงนี้กับการเหลืออีก 10 เกมสุดท้าย ก็ยังถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งเท่ากับสะท้อนอะไรได้บางอย่าง ความน่าเกรงขาม บารมีและประสบการณ์ทำให้ยังไงก็มองข้ามไม่ได้เลย
ในฐานะแชมเปี้ยนที่กำลังไล่ล่าสถิติใหม่แชมป์สี่สมัยนั้นก็มักเคยทำซีรี่ส์ยิงยาวไร้พ่ายได้เสมอ ตั้งแต่ซีซั่น 2017/18 ไม่แพ้ใคร 22 เกมติด ปีถัดมาก็ทำได้สองช่วง 15 เกมกับ 14 เกม ขณะที่สามครั้งหลังสุดนั้นตัวเลขอ่านได้ว่า19, 15และ16เกมติด
ตอนนี้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทำมาได้แล้ว 13 เกมติด ที่ไม่แพ้ใครในลีก ในช่วงนั้นพวกเขาก็เคยไม่มีทั้ง เอร์ลิ่ง ฮาลันด์ กับ เควิน เดอ บรอยน์ พร้อมกัน
นี่คือจุดแข็งของซิตี้
หมากของเป๊ปที่ยืดหยุ่นตามสภาพทีมทำให้ทีมฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ ดังนั้นถ้าจากนี้ไปพวกเขารักษาสมดุลนี้ได้ รอแค่ แจ็ค กรีลิช กลับมาก็จะมีทีมที่เกือบสมบูรณ์ทุกตำแหน่งพร้อมไล่ล่าเทรบเบิ้ลแชมป์เป็นปีสองติดต่อกัน
ถูกต้องว่าอาการบาดเจ็บของ เอแดร์ซอน จากเกมเสมอ ลิเวอร์พูล 1-1 ซึ่งคาดว่าต้องพัก 3-4 สัปดาห์ย่อมส่งผลไม่มากก็น้อย ต่อให้ สเตฟาน ออร์เตก้า มือสองจะถือว่าทำหน้าที่ได้ดี
อีกจุดที่ต้องรอดูก็อยู่ที่สองเกมยากเจออาร์เซน่อลในบ้านกับเยือนสเปอร์ส (สังเวียนที่เรือใบยังไม่เคยชนะในลีก) ว่าจะกวาดชัยได้หมดเลยหรือเปล่า?
"ไก่ป่า"