กว่า 10 ปีที่ ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ ทำงานกับ ลิเวอร์พูล เขาถือเป็นฟันเฟืองที่มีคุณค่าต่อสโมสรเอามาก ๆ
และหลังจากอำลาทีมไปเมื่อปี 2022 ถึงตอนนี้ เอ็ดเวิร์ดส์ จะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งในฐานะคนระดับซีเนียร์ของ เอฟเอสจี
…
จากหัวหน้าฝ่ายประเมินผลสู่การเป็นผู้อำนวยการกีฬา
คุณประโยชน์ที่เขาทำไว้เป็นสิ่งที่สโมสร และแฟนบอลไม่มีวันลืม
5 ปีกับการทำงานในบทบาทผอ.กีฬา ลิเวอร์พูล เขาสร้างความน่าเชื่อถือให้เป็นประจักษ์แก่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับโลกลูกหนัง
เขาทำให้รู้ว่าความสำคัญของสโมสร "ฟุตบอล" ไม่ได้มีแค่เรื่องในสนาม
เขาเน้นย้ำให้เห็นถึงการทำงานเบื้องหลังที่คอยเอื้อให้ทีมมีพัฒนาการมากขึ้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ไมค์ กอร์ดอน, เจอร์เก้น คล็อปป์ และตัว เอ็ดเวิร์ดส์ เอง คือ 3 แกนหลักที่ทำงานร่วมกันบนนอกฉากที่เราไม่ได้เห็นบนผืนหญ้า
หน้าฉากของ เอ็ดเวิร์ดส์ เราไม่ค่อยเห็นมากนัก แม้แต่การจะค้นหารูปใน กูเกิ้ล ยังแทบไม่ค่อยมี
บนความสำเร็จระดับเมเจอร์แรกในยุค เจเค
ค่ำคืนชื่นมื่น ณ ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ ขณะที่ผู้เล่น และสตาฟฟ์หลายคนฉลองสุดเหวี่ยงบนโพเดี้ยม
เอ็ดเวิร์ดส์ เลือกเก็บตัวเงียบ ๆ ยืนด้านหลังเพื่อเก็บภาพบรรยากาศอันยิ่งใหญ่
มันเป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจสำหรับเขา ที่ได้เห็น "เดอะ ค็อป" มีสีหน้าอิ่มเอมไปด้วยรอยยิ้ม
คำบอกเล่าจากทีมงานที่ เมลวู้ด เผยว่า เอ็ดเวิร์ดส์ เป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูงก็จริง แต่เป็นคนที่เขาถึงได้ง่ายมาก
ผู้คนที่อยู่นอกสโมสรไม่มีใครเห็นในเรื่องนี้ เขาเป็นคนที่เด็ดขาด แต่ก็เป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
แล้วหลังจากค่ำคืนที่ มาดริด เอ็ดเวิร์ดส์ เชื่อว่าทุกคนคือคนที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จครั้งนั้น
…
ด้วยความร่วมมือจาก เจอร์เก้น คล็อปป์, เอฟเอสจี เจ้าของสโมสร , ทีมงานสเกาท์และการวิเคราะห์ ลิเวอร์พูล ได้รวบรวมนักเตะชั้นยอดหลายคนมาร่วมทีมจนตอนนี้มันดูเหมือนเป็นทีมที่เก่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาใน พรีเมียร์ลีก มากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วสิ่งที่ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ เคยทำสิ่งนั้น มีอะไรบ้างล่ะ ?
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ จินี่ ไวนัลดุม ถูกซื้อจากทีมตกชั้น(ฮัลล์ ซิตี้, นิวคาสเซิล) ด้วยค่าตัวรวมกัน 33 ล้านปอนด์
ขณะที่ตอนซื้อ ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทั้งสองคนยังไม่ได้โด่งดังถึงขั้นเป็นซูเปอร์สตาร์ กับ เซาธ์แฮมป์ตัน และ โรม่า
จากนั้น เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, อลีสซง, ฟาบินโญ่ ก็เข้ามา รวมถึง ฮาร์วี่ เอลเลียตต์ วัย 16 ปี และ ทาคูมิ มินามิโนะ ที่เพิ่งร่วมทีมได้ไม่นาน
แน่นอน คล็อปป์ ก็สมควรได้รับเครดิตเช่นกันที่ดึงศักยภาพผู้เล่นจนเข้ากับระบบทีม
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จ รายของ โดมินิค โซลันกี้ ไม่ได้เป็นไปตามที่หวังแต่ทีมก็ยังทำมูลค่าได้มหาศาลจากการขายเขาออกไป
การเสริมทัพที่ยอดเยี่ยมของสโมสรมันเกิดจากการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
แต่คนที่อยู่เบื้องหลังของการเสริมทัพกลับเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจได้ยาก...
กระบวนการ เอ็ดเวิร์ดส์ มันนี่บอล ของ เอ็ดเวิร์ดส์ เติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับการพิจารณาจาก FSG ซึ่งเป็นเจ้าของทีม บอสตัน เร้ด ซ็อกซ์ ที่ใช้วิธีการทางสถิติ มันนี่บอล จนประสบความสำเร็จ
เอ็ดเวิร์ดส์ เป็นคนแรกในอังกฤษที่ FSG ติดต่อหา หลังจากเขาส่งอีเมล์, ผลการวิเคราะห์ฟอร์มการเล่นของทีม และข้อมูลสำคัญๆ ของเป้าหมายการเสริมทัพไปหาหน่วยเหนือที่สหรัฐฯ ทุกวัน
เอ็ดเวิร์ดส์ มีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่กับ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ซึ่งต่อมา เอ็ดเวิร์ดส์ ก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการด้านเทคนิค ตอนที่ ร็อดเจอร์ส ออกจากทีมไป
แดน อัล์ทแมน อดีตที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการฟุตบอลของ สวอนซี กล่าวว่า "ผู้อำนวยการกีฬาจะต้องเป็นอิสระจากเฮดโค้ช เพื่อที่จะได้เสนอมุมมองที่แตกต่างกันออกไป"
"แน่นอนล่ะว่า โมเดลของ ลิเวอร์พูล ทำให้นึกถึงโมเดลอื่น ๆ แต่ของพวกเขาเจ๋งกว่าเล็กน้อยในเรื่องของการวิเคราะห์และเจ๋งมากขึ้นไปอีกในเรื่องของการรวมผลวิเคราะห์ในกระบวนการตัดสินใจ"
"การวิเคราะห์มันจะไม่ได้ผลเลย หากคุณไม่ได้มีกระบวนการตัดสินใจที่ดี"
เอ็ดเวิร์ดส์ เป็นมากกว่านักสถิติ เขาศึกษาเหล่าเป้าหมายด้วยการให้เห็นกับตาเพื่อที่จะหานักเตะที่มีลักษณะนิสัยตามที่ต้องการ และยังเข้าใจในเกมฟุตบอลเพราะเขาเคยเป็นนักเตะเยาวชนของ นอริช ก่อนจะไม่ประสบความสำเร็จกับ ปีเตอร์โบโร่
…
จากที่เคยถูกมองว่าเป็นบุคคลลึกลับของ เมลวู้ด จนเมื่อ ลิเวอร์พูล เข้าสู่ยุคใหม่ภายใต้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เขาก็ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
โต๊ะทำงานที่เคยอยู่ห่างไกลจากใจกลาง เมลวู้ด พลันได้ตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬา ออฟฟิศของเขา ก็อยู่ตรงข้ามกับผู้จัดการทีม
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปในทางบวก คล็อปป์ เชื่อใจในความคิดของ เอ็ดเวิร์ดส์
เอ็ดเวิร์ดส์ ไม่ใช่คนที่โดดเด่นตามหน้าสื่อ เขามีนิสัยต่างจาก คล็อปป์ มาก แต่ทั้งคู่ต่างก็เคารพซึ่งกันและกัน
แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาทั้งสองจะเห็นพ้องกันในทุกเรื่อง
บางอย่างความคิดไม่ตรงกัน ทว่าสุดท้ายก็จบลงด้วยการนำเหตุผลเข้าหากัน
ครั้งหนึ่ง คล็อปป์ อยากได้ ยูเลี่ยน บรันด์ท จาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น มากกว่า ซาลาห์
แต่สุดท้าย เอ็ดเวิร์ดส์ สามารถเกลี้ยกล่อมทั้ง คล็อปป์ และ กอร์ดอน จนทำให้ทั้ง 2 คนเห็นด้วยว่าควรซื้อ "คิง อียิปต์" เข้ามา
โดยเหตุผลของ เอ็ดเวิร์ดส์ ที่ว่า ซาลาห์ มีดีพอที่จะเล่นให้ ลิเวอร์พูล เพราะว่าเขาเฝ้าดูพัฒนาการอง ซาลาห์ มาตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่กับ บาเซิล แล้ว
แน่นอนที่ เอ็ดเวิร์ดส์ รู้แบบนั้นได้ เพราะเขามีทีมงานอันยอดเยี่ยม ทั้ง วิลเลี่ยม สเปียร์แมน, ทิม วาสเก็ตต์, เอียน เกรแฮม, ดาฟีดด์ สตีล, มาร์ค ฮาวเล็ตต์ รวมถึง เดฟ ฟัลโลวส์, แบร์รี่ ฮันเตอร์ และ จูเลี่ยน วอร์ด
…
แม้ขาทั้งสองข้างไม่ได้มีพรสวรรค์กับการเตะฟุตบอล แต่ เอ็ดเวิร์ดส์ สามารถใช้สมองในการวิเคราะห์เกมฟุตบอลได้
เอ็ดเวิร์ดส์ ได้ปริญญาสาขาสารสนเทศด้านการคำนวณ ต่อมาได้รับการคัดเลือกจาก พอร์ธสมัธ สโมสรที่อยู่ไม่ไกลจาก เซาธ์แฮมป์ตัน บ้านเกิดมากนัก
ที่นั่น เอ็ดเวิร์ดส์ ทำงานกับ แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ส ในตำแหน่งนักวิเคราะห์ ก่อนที่ปีต่อมาจะก้าวขึ้นไปเป็นหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ศักยภาพตอนที่แผนกนี้กำลังขยายตัว
ในบทบาทนี้เขาทำการวิเคราะห์ฟอร์มการเล่นของ พอร์ทสมัธ, ทำการประชุมเรื่องคู่แข่งในแต่ละสัปดาห์ และศึกษาเป้าหมายการเสริมทัพโดยที่ใช้ Prozone ซึ่งเป็นซอฟแวร์ด้านวิเคราะห์ศักยภาพของวงการกีฬา
ปี 2009 เอ็ดเวิร์ดส์ ร่วมงานกับ เร้ดแน็ปป์ส อีกครั้งที่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ โดย แดเนี่ยล เลวี่ ประธานสโมสรเชื่อใจในตัว เอ็ดเวิร์ดส์ เพื่อให้เข้ามาปรับปรุงแผนกวิเคราะห์ของ สเปอร์ส ให้ดีขึ้น ซึ่งนี่ก็มีส่วนกับการที่ สเปอร์ส จบท็อป 4 เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี
หลังจากทำงานกับ สเปอร์ส 2 ปี เอ็ดเวิร์ดส์ ก็ถูก ดาเมี่ยน โคมอลลี่ ดึงตัวมาทำงานที่ ลิเวอร์พูล
ที่ ลิเวอร์พูล เอ็ดเวิร์ดส์ เติบโตต่อเนื่อง ปี 2015 เขาได้รับบทบาทผู้อำนวยการด้านเทคนิค และก้าวเป็นผู้อำนวยการด้านกีฬาในปีต่อมา ซึ่งทำให้เขามีอำนาจสั่งการโดยรวมมากขึ้น ตั้งแต่การมองหานักเตะไปจนถึงการเจรจาเรื่องสัญญา
…
หลายปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จในตลาดซื้อ-ขาย
เมื่อมองจากตัวเลขสุทธิ หักกลบกันแล้ว หน่วยเงินปอนด์เป็นตัวสีเขียว
หน้าที่ของ เอ็ดเวิร์ดส์ คือการเจรจาต่อรอง และเสนอดีลอย่างเช่น ซาลาห์, มาเน่, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, อลีสซง ตลอดจน ดิโอโก้ โชต้า และ อิบราฮิม่า โกนาเต้
ในทางตรงกันข้าม ผู้เล่นที่ คล็อปป์ ไม่ใช้งาน เอ็ดเวิร์ดส์ ก็เล่นแร่แปรธาตุได้ค่าตัวมหาศาลกลับคืนมา
ยกตัวอย่าง คริสติย็อง เบนเตเก้ (32 ล้านปอนด์), จอร์ดอน ไอบ์ (15 ล้านปอนด์), มามาดู ซาโก้ (26 ล้านปอนด์), โดมินิค โซลันกี้ (19 ล้านปอนด์), แดนนี่ อิงส์ (20 ล้านปอนด์), มาร์โก กรูยิช (10 ล้านปอนด์), แฮร์รี่ วิลสัน (12 ล้านปอนด์) ฯลฯ
หรือจะการส่งมอบ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ให้ บาร์เซโลน่า เมื่อเดือนมกราคม 2018 ด้วยเงินจำนวน 142 ล้านปอนด์
หนึ่งในดีลที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับ เอ็ดเวิร์ดส์ มากที่สุด คือตอนที่เขาสามารถผลักดันให้สโมสรคว้าโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ขณะที่ ร็อดเจอร์ส อยากได้ คริสติย็อง เบนเทเก้ จาก แอสตัน วิลล่า
สโมสรไม่อยากให้ปัญหานี้ลามเป็นเรื่องใหญ่โต จึงจัดการคว้าทั้ง ฟีร์มีโน่ และ เบนเตเก้ เข้ามา
และความสำคัญของ ฟีร์มีโน่ ในตอนนี้เป็นอย่างไร คงจะไม่เกินไปนักหากบอกว่า เอ็ดเวิร์ดส์ คือผู้ชนะ
...
เอ็ดเวิร์ดส์ พิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเองมีความชำนาญในการทำให้บรรดานักเตะดาวดังของ ลิเวอร์พูล ยอมเซ็นสัญญาระยะยาวกับทีม
นอกจากทำงานเรื่องการเสริมทัพ เขายังเป็นส่วนสำคัญในการวางแผนทำศูนย์ฝึกซ้อมแห่งใหม่ในย่าน เคิร์คบี้ ที่มีมูลค่า 50 ล้านปอนด์ ที่เพิ่งเปิดใช้มาเมื่อไม่นาน
เอ็ดเวิร์ดส์ มักถ่อมตัวเองเสมอ เขาปัดคำชมหลายคนที่ชื่นชม ดังกรณี ถ้าพูดเกี่ยวกับการเซ็นสัญญากับ ซาลาห์ แล้วล่ะก็ เขาจะบอกคุณว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดดีลนั้นขึ้นได้ก็คือการที่ ฟัลโล่ว์ส ทำข้อตกลงกับ โรม่า ได้
ส่วนกรณีที่เอา โจ โกเมซ มาจาก ชาร์ลตัน ?
เขาก็จะบอกว่าที่ดีลนี้สำเร็จได้เป็นเพราะความหนักแน่นของ ฮันเตอร์ ที่ยืนกรานว่าต้องทำดีลนี้ให้ได้
หรือถ้าจะพูดถึงการที่ผู้เล่นที่ปล่อยยืมไปทำผลงานได้ดีกับอกอีกทีม
เขาก็จะบอกว่ามันเป็นผลงานชั้นยอดของ จูเลี่ยน วอร์ด (สมัยยังเป็นผู้จัดการฝ่ายการยืมตัวและพันธมิตรด้านฟุตบอล) ที่สามารถหาทีมที่เหมาะสมกับนักเตะได้
เอ็ดเวิร์ดส์ ไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าเขามีความสำคัญอย่างมากในเรื่องการซื้อและขายนักเตะ
เขามองว่าตัวเองเป็นเพียงฟันเฟืองอันหนึ่งของเครื่องจักรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ก็เป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญขององค์กรที่ใคร ๆ ก็อยากมีไว้
แล้วก็มาถึงวันนี้ ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง
HOSSALONSO