ลิเวอร์พูล แชมป์ คาราบาวคัพ ยังการันตีตำแหน่งจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ได้ต่ออย่างน้อยอีกสัปดาห์แม้จะโชว์ฟอร์มได้ต่ำกว่ามาตรฐานในเกมบุกไปเยือน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เมื่อวันเสาร์ที่ 2 มี.ค.ซึ่งน่าจะจบลงแบบโนสกอร์อยู่แล้ว แต่ในช่วงทดเวลานาทีสุดท้าย ดาวเตะเจ้าบ้านก่อความผิดพลาดมหันต์แทนที่จะแชร์แต้มกับ หงส์แดง ได้กลับออกลูกเลินเล่อเปิดทางให้ทีมเยือนได้ประตูโทนจากลูกโขกของ ดาร์วิน นูนเญซ ตัวสำรองที่หายเจ็บเป็นปลิดทิ้งกลับมาลงสนามได้แล้วพาทีมคว้าสามแต้มสำคัญออกจาก ซิตี้ กราวด์ ได้อย่างเฉียดฉิวเป็นที่สุด
1. เจ้าป่าส่ง โอริกี้ ฟัดทีมเก่า
ฟอเรสต์ เปลี่ยนทีมจากเกม เอฟเอคัพ รอบห้านัดแพ้คารังต่อ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 เมื่อวันพุธที่ผ่านมาด้วยการโรเตชั่นนักเตะรวมสี่ตำแหน่ง
นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ กุนซือโปรตุกีสส่ง ดิว็อค โอริกี้ อดีตกองหน้าทีม ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ตตามเดิมเช่นเดียวกับ เนโก วิลเลี่ยมส์ อดีตกองหลัง เร้ด แมชีน แต่ดร็อป ไตโว อโวนิยี่ ที่เคยค้าแข้งกับ หงส์แดง เช่นกันนั่งสำรอง
สำหรับสี่รายที่เจ้าบ้านเลือกใช้บริการในโผ 11 คนแรกเกมนี้ประกอบไปด้วยนายทวาร แม็ตซ์ เซลส์ , แอนดรูว์ โอโมบามิเดเล่ , นิโกลัส โดมิงเกซ และ คัลลั่ม ฮัดสัน โอดอย
2. หงส์ได้ นูนเญซ , โซโบซไล นั่งสำรอง
ด้าน ลิเวอร์พูล ปรับทีมตัวจริงสี่ตำแหน่งเช่นกันหลังทะลุเข้ารอบแปดทีมถ้วย เอฟเอคัพ ได้ด้วยการเปิดบ้านถล่ม เซาธ์แฮมป์ตัน 3-0
เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันวางหมากด้วยการส่ง อิบราฮิม่า โกนาเต้ ,แอนดี้ โรเบิร์ตสัน , อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ หลุยส์ ดิอาซ ลงเล่นเป็นตัวจริง พร้อมทั้งได้ ดาร์วิน นูนเญซ กับ โดมินิก โซโบซไล หายเจ็บกลับมานั่งอยู่ในซุ้มข้างสนาม
สำหรับ วาตารุ เอ็นโด ฟื้นจากอาการบาดเจ็บพร้อมลงเล่นในฐานะตัวสำรองเช่นกันโดยสองกองหน้าดาวรุ่งอย่าง ลูอิส คูมาส กับ เจย์เดน แดนน์ส มีชื่อติดโผทีมชุดใหญ่อีกนัด
อย่างไรก็ดี คล็อปป์ สร้างความฮือฮาอีกหนด้วยการส่ง บ๊อบบี้ คลาร์ก มิดฟิลด์วัย 18 ปีลงเล่นเป็นตัวจริงเกม พรีเมียร์ลีก นัดแรก
3.เครื่องจักรไร้ประสิทธิภาพ
เป็นเรื่องจริงแน่นอนสำหรับคำกล่าวที่ว่า "คนไม่ใช่เครื่องจักร" เนื่องจากเท่าที่เห็นตลอดครึ่งแรกของเกมที่ ซิตี้ กราวด์ นักเตะของ คล็อปป์ ทำได้ดีที่สุดแค่ครองบอลเหนือกว่าเจ้าบ้าน และหลังจากกรำศึกหนักเป็นประจำแทบจะสัปดาห์ละสองเกมอย่างต่อเนื่องจนนักเตะล้มเจ็บกันหลายราย นักเตะ ลิเวอร์พูล จึงออกอาการเร่งไม่ขึ้นเร่งอย่างที่เห็น
ถึงกระนั้น หากจะมองในแง่ดี การออกสตาร์ตในครึ่งแรกอย่างเชื่องช้าดูจะเป็นเครื่องหมายการค้าของ หงส์แดง ในระยะหลังไปแล้วดังจะเห็นได้ว่ามีอยู่หลายเกมที่พวกเขาเสียประตูให้กับคู่แข่งก่อน แต่สามารถพลิกสถานการณ์ได้โดยตลอดในครึ่งหลังจากการแก้เกมของกุนซือคนเก่งซึ่งต้องรอดูกันว่า คล็อปป์ จะทำได้ดีอีกเกมหรือเปล่า
แต่ที่แน่ๆ หลังครบ 45 นาทีแรกนัดออกไปเยือน ฟอเรสต์ ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ได้ครองบอลเหนือกว่าก็จริงจากสัดส่วน 73:27% แต่ที่น่าตกใจก็คือพวกเขาส่งบอลเข้ากรอบเจ้าบ้านไม่ได้เลยจากโอกาสส่องยิง 8 ครั้ง ขณะที่ เจ้าป่า ได้ลุ้น 3 ครั้ง และเข้ากรอบ 1 ครั้ง
4. เจ้าถิ่นฆ่าตัวตาย
กลับสู่ครึ่งหลัง ทีมเยือนยังแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้แม้ คล็อปป์ จะมีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น แต่ในช่วงท้ายซีซั่นอย่างนี้ เร้ด แมชีน ซึ่งยังมีโปรแกรมลงเล่นครบทั้งสี่รายการจึงออกอาการตุปัดตุเป๋เป็นเหมือนกัน และเป็นเกมที่พวกเขาเล่นได้อย่างไร้พิษสงนัดหนึ่งในยุคของ คล็อปป์ เลยก็ว่าได้
ไม่เพียง ลิเวอร์พูล เท่านั้น ฟอเรสต์ ก็ดูจะหมดแรงข้าวต้มไปด้วยจากที่ต้องลงเล่นถ้วย เอฟเอคัพ มาหมาดๆ จึงทำให้เกมเป็นไปอย่างน่าอ่อนอกอ่อนใจเนื่องจากดูเหมือนแข้งขาของขุนพลทั้งสองฝ่ายแทบไม่มีกำลังวังชาหลงเหลืออยู่แล้วอันทำให้คุณภาพของเกมลดลงตามระเบียบ
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้ เครื่องจักรสีแดง จะทำงานได้ไม่เต็มร้อยเหมือนที่เคยเป็น แต่ที่แน่ๆขึ้นชื่อว่า เร้ด แมชีน พวกเขาพร้อมลงโทษคู่แข่งเสมอตราบที่เสียงนกหวีดสุดท้ายยังไม่ดังขึ้น กระทั่งนาทีที่ 99 ของช่วงทดเวลาก็ไม่เว้นซึ่งอันที่จริงเป็นจังหวะที่ ฟอเรสต์ เคลียร์บอลอันตรายในเขตโทษได้สำเร็จแล้วด้วย และค่อนข้างแน่ว่าพวกเขากำลังจะได้หนึ่งแต้มสำคัญช่วยต่ออายุการพยายามเอาตัวรอดหนีการตกชั้น
อย่างไรก็ดี ใครที่เป็นสาวก เจ้าป่า น่าจะเจ็บใจอย่างแรงที่ อโวนิยี่ ซึ่งถูกส่งลงเล่นเป็นตัวสำรองนอกจากจะทื่อสุดขีดในเกมรุกแล้ว เขายังก่อความผิดพลาดมหันต์หลังจากครองบอลในอึดใจสุดท้ายได้ แต่กลับพยายามโชว์เหนือด้วยการควบหนีหนีกลุ่มผู้เล่นทีมเยือนออกจากหน้าเขตโทษแล้วโดนแย่งกระทั่ง นูนเญซ ได้ลูกจ่ายโขกตุงตาข่ายให้ คล็อปป์ ได้แฮปปี้สวนทางกับ เอสปิริโต้ ซานโต้ ที่หน้าบอกบุญไม่รับ
เท่ากับว่าชัยชนะเกมนี้นอกจากจะทำให้ ลิเวอร์พูล อุ่นใจที่ยังรักษาตำแหน่งจ่าฝูงได้ต่อไปแล้ว มันยังทำให้พวกเขาบุกมาชนะที่ ซิตี้ กราวด์ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1984 ด้วยทั้งๆที่เกมกำลังจะจบลงแบบไร้สกอร์อยู่แล้ว
สำหรับสถิติหลังเกม 90 นาที เร้ด แมชีน ครองบอลได้เหนือกว่า 70:30% และได้ยิง 22 ครั้ง เข้ากรอบ 2 ครั้งเท่ากับ ฟอเรสต์ ที่ได้ยิงรวม 8 ครั้ง
5. เคลเลเฮอร์ ปิดทองหลังพระ
ผ่านมาถึงวันนี้ น่าจะชัดเจนแล้วว่า ลิเวอร์พูล สามารถพึ่งพาการเฝ้าเสาของ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ได้อย่างอุ่นใจนับตั้งแต่เขาได้ลงเล่นแทน อลิสซง ที่บาดเจ็บ
คงจำกันได้ว่านัดสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล ประสบกับความปราชัยเป็นเกมลีกที่พวกเขาออกไปแพ้ อาร์เซน่อล 3-1 และนับจากนั้นเป็นต้นมาซึ่งผู้รักษาประตูทีมชาติ ไอร์แลนด์ ได้ลงสนามแทนมือกาวทีมชาติ บราซิล ปรากฏว่าทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์กำชัยได้เรียบวุธหกนัดรวดจากการทำศึกสามรายการทั้ง พรีเมียร์ลีก , คาราบาวคัพ นัดชิงชนะเลิศ และ เอฟเอคัพ รอบห้า
ยิ่งไปกว่านั้น จอมหนึบไอริชยังสร้างผลงานเก็บคลีนชีตได้อย่างต่อเนื่องตลอดสามนัดหลังสุดด้วยโดยหกเกมที่เขาได้เฝ้าตาข่าย เร้ด แมชีน เสียไปแค่สามประตู และเป็นการเสียประตูในเกมลีกนัดละประตูเท่านั้นในเกมเปิดบ้านไล่ทุบ เบิร์นลีย์ 3-1, ออกไปขยี้ เบรนท์ฟอร์ด 4-1 และถล่ม ลูตัน 4-1 ที่ แอนฟิลด์
จากผลงานดังกล่าว มันบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าสาวก เดอะ ค็อป ไม่จำเป็นต้องหนาวๆร้อนๆอีกต่อไปแล้วในยามที่ อลิสซง ลงสนามไม่ได้เนื่องจาก เคลเลเฮอร์ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีดีพอที่สโมสรสามารถฝากความหวังเอาไว้ได้โดยเฉพาะในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้ซึ่ง หงส์แดง ยังคงเดินหน้าไล่ล่าแชมป์ครบทั้งสี่รายการ