ลิเวอร์พูล ปล่อยให้ แมนฯ ซิตี้ นั่งเก้าอี้จ่าฝูงได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็กลับไปนำหน้าในอันดับตาราง พรีเมียร์ลีก ได้อีกรอบจากเกมเปิดสนาม แอนฟิลด์ พิชิต เบิร์นลีย์ ลงได้ตามคาด 3-1 ในการลงบู้ที่ แอนฟิลด์ เมื่อวันเสาร์ที่ 10 ก.พ. ต่อหน้าแฟนบอลที่เป็นสถิติใหม่ ขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยอดกุนซือชาวเยอรมันโชว์กึ๋นแก้เกมในครึ่งหลังให้ หงส์แดง เก็บสามแต้มได้อย่างยอดเยี่ยมอีกนัด
1. หงส์ไม่สมประกอบปรับทัพอื้อ
ลิเวอร์พูล หนีไม่พ้นต้องปรับทีมรวมห้ารายหลังออกไปแพ้ อาร์เซน่อล 3-1 แถมล่าสุดเสียตำแหน่งจ่าฝูงแบบชั่วคราวให้กับ แมนฯ ซิตี้ ไปแล้วเนื่องจากแชมป์เก่าเปิดบ้านคว่ำ เอฟเวอร์ตัน ได้ 2-0 ในการลงเล่นเป็นคู่แรกของเกมในวันเสาร์
คล็อปป์ กุนซือ หงส์แดง เปลี่ยนโผตัวจริงห้ารายไล่ตั้งแต่ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ที่ได้เฝ้าเสาแทน อลิสซง ที่เป็นไข้ ขณะที่ โจ โกเมซ บาดเจ็บ ส่วน อิบราฮิม่า โกนาเต้ ติดโทษแบน ทำให้ จาร์เรล ควานซาห์ กับ แอนดี้ โรเบิร์ตัน ได้ออกสตาร์ต
ด้านแดนกลาง วาตารุ เอ็นโด กลับมาจากทีมชาติ และได้เสียบแทน ไรอัน กราเฟนแบร์ค ส่วนแผงหน้า ดาร์วิน นูนเญซ เบียด โคดี้ กัคโป ตกไปเป็นตัวสำรอง
2. คลาเร็ตส์ สลับโผตัวจริงสามตำแหน่ง
แว็งซ็องต์ กอมปานี นายใหญ่ เบิร์นลีย์ พาทีมบุกมาเยือน ลิเวอร์พูล ด้วยการโรเตชั่นทีมสามตำแหน่งจากเกมเฝ้าบ้านไล่ตีเสมอ ฟูแล่ม 2-2 เมื่อสัปดาห์ก่อน
ในจำนวนนี้ ทีมเยือนใช้งานสองกองหลัง แม็กซิม เอสเตฟ และ ฮันเนส เดลคร็อกซ์ กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริง ส่วนอีกรายได้แก่กองหน้า ดาวิด ดาโทร โฟฟาน่า หลังจากดาวยิงที่ย้ายมาจาก เชลซี แบบยืมตัวโขว์ฟอร์มลุกจากม้านั่งข้างสนามลงไปเหมายิงสองเม็ดใส่ เจ้าสัวน้อย
ด้วยเหตุนี้ วิตินโญ่ กับ ฮัลมาร์ เอ็กดาล สองแนวรับจึงหล่นไปเป็นตัวสำรอง ขณะที่ ไลล์ ฟอสเตอร์ หัวหอกไม่มีส่วนร่วมในเกมนี้
3. โขกมาโขกกลับไม่โกง
จบครึ่งแรกที่ แอนฟิลด์ สกอร์ยุติด้วยผลเสมอ 1-1 ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่แฟนบอลเจ้าบ้านคาดคิดเนื่องจากรวมแล้ว ลิเวอร์พูล เล่นได้ดีกว่ามากพอสมควร
และที่สำคัญ ดีโอโก้ โชต้า จัดการโขกลูกเตะมุมตุงตาข่ายให้ เร้ด แมชีน นำหน้า 1-0 ด้วยแม้จะต้องรอนานถึงนาทีที่ 31 โดยจังหวะนี้เป็นการออกมาคว้าบอลพลาดของ เจมส์ แทรฟฟอร์ด นายทวารทีมเยือน แต่มันก็ไม่สำคัญอะไรในเมื่อพ่อค้าแข้งทีมชาติ โปรตุเกส สอยตาข่ายในเกม พรีเมียร์ลีก ได้ 99 ประตูแล้ว
อย่างไรก็ดี ถึงนาทีสุดท้าย เบิร์นลีย์ เอาคืนได้สำเร็จจากลูกเตะมุมเช่นกันโดย ดาร่า โอเช เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติ ไอร์แลนด์ วัย 24 ปีเจิมประตูแรกของเขาในเกม พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จซะด้วย
แน่นอนว่าหลังครบ 45 นาที ลิเวอร์พูล ครองบอลได้มากกว่าถึง 69:31% และได้สับไก 9 ครั้งเข้ากรอบ 4 แต่ เบิร์นลีย์ ซึ่งเกมเป็นรองมีโอกาสได้เข่นไม่น้อยเช่นกัน 6 ครั้ง และเข้ากรอบ 3 ครั้ง
4. บอสแก้เกมอีกแล้ว
แม้จะจบครึ่งแรกด้วยผลเสมอ 1-1 แต่ครึ่งหลัง คล็อปป์ ซึ่งขึ้นชื่อลือชาในด้านการเปลี่ยนตัวสำรองและแท็คติกเนรมิตชัยชนะให้กับเจ้าบ้านได้สำเร็จเหมือนหลายๆเกมที่ผ่านมาจากการเปลี่ยน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ที่มีปัญหาบาดเจ็บเล็กน้อยออกไป และส่ง ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ลงบู้
ขณะเดียวกัน คล็อปป์ โยก เคอร์ติส โจนส์ กองกลางให้ลงไปเล่นเป็นแบ็คขวาในแดนหลังด้วย และปรากฏว่าได้ผลทันตาเห็นเนื่องจาก เอลเลียตต์ ตักบอลจากปีกขวาไปให้ หลุยส์ ดิอาซ โถมโขกเผาขนพาเจ้าบ้านนำอีกครั้ง 2-1 ในนาทีที่ 52
ยิ่งไปกว่านั้น เอลเลียตต์ จัดอีกแอสซิสต์ด้วยการสาดบอลจากกราบขวาอีกตามเคยไปเสาไกลให้ ดาร์วิน นูนเญซ โขกปิดสกอร์นาทีที่ 77 พาทีม เร้ด แมชีน ชนะ 3-1 โดยปรากฏว่าเกมนี้มีการโหม่งทำประตูกันล้วนๆสี่เม็ด
ด้าน เบิร์นลีย์ นอกจากจะแพ้เรียบวุธ 100% เป็นเกมที่ 7 สำหรับนัดเยือนของศึก พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ทั้งๆที่ยิงประตูนำเจ้าบ้านได้ก่อนแล้ว กอมปานี ซึ่งได้ใบเหลืองจากท่านเปาจะโดนแบนเกมหน้านัดต้อนรับ อาร์เซน่อล ด้วยเนื่องจากกุนซือชาวเบลเยี่ยมได้ใบเหลืองเป็นใบที่สามในซีซั่นนี้แล้ว
สำหรับ ลิเวอร์พูล อย่างที่รู้กันดีว่า คล็อปป์ ขึ้นชื่อในด้านการแก้เกมในครึ่งหลังทำให้เจ้าบ้านเล่นได้เหนือกว่าอาคันตุกะมากขึ้นใน 45 นาทีสุดท้ายจากสถิติหลังเกมที่ระบุว่า หงส์แดง ครองบอลได้เพิ่มขึ้นเป็น 71:29% และได้ยิงประตูมากขึ้นเป็น 25 ครั้งเข้ากรอบ 10 ครั้ง ขณะที่ เดอะ คลาเร็ตส์ ทำได้แค่ 9 ครั้งเข้ากรอบ 4 ครั้งซึ่งชี้ให้เห็นว่าทีมรองบ๊วยไม่อาจรักษามาตรฐานจากเกมในครึ่งแรกได้หลังโดนทีเด็ดของ คล็อปป์ เล่นงานเข้าให้เต็มเปา
เท่านั้นไม่พอ เบิร์นลีย์ ยังมีเกมรับที่เลวร้ายชนิดเสมอต้นเสมอปลายอย่างเกมกับ ลิเวอร์พูล ในหลายๆจังหวะนักเตะแผงหลังของทีมไม่คิดประกบผู้เล่นในแนวรุกของ ลิเวอร์พูล อย่างมิดชิดมากพอ และปล่อยให้อยู่ห่างเป็นวาซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามได้ลุ้นยิงประตูซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยถึงตอนนี้พวกเขาตาข่ายฉีกไปแล้ว 50 ลูกจาก 24 นัดซึ่งไม่ใช่เรื่องดีแน่หากพวกเขาอยากเอาตัวรอดในลีกสูงสุดให้ได้
5. สามแต้มต้อนรับสถิติผู้ชม
อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า ลิเวอร์พูล ลงเล่นกับ เบิร์นลีย์ เป็นเกมแรกหลังจากอัฒจันทร์ แอนฟิลด์ โร้ด ได้รับการต่อเติมเพิ่มจำนวนความจุผู้ชมเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้วอันจะทำให้ หงส์แดง รองรับแฟนบอลได้เป็นสถิติใหม่ที่หลัก 60,000 คน
จากตัวเลขอย่างเป็นทางการหลังเกมจบลง มีแฟนบอลเดินเข้าสนามทั้งสิ้น 59, 896 รายซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของสโมสรสำหรับเกมลีกแทนที่ตัวเลขเดิม 58,757 ราย
อย่างไรก็ดี เป็นที่ยืนยันว่าหลังมีการปรับปรุงอัฒจันทร์ สังเวียนแข้ง แอนฟิลด์ สามารถแบกรับผู้ชมได้เต็มความจุทั้งสิ้น 60,725 คนเลยทีเดียว แต่ถึงยังไงยักษ์ใหญ่แห่งเมอร์ซีย์ไซด์ก็ได้ฉลองชัยชนะที่ทำให้พวกเขากลับไปเป็นจ่าฝูงได้สำเร็จในวันที่มีแฟนบอลเข้าสนามมากที่สุดเป็นสถิติใหม่
สำหรับสถิติการต่อกรกับ เบิร์นลีย์ ลิเวอร์พูล เพิ่มผลงานชนะมากถึง 9 จาก 11 นัดหลังที่ทั้งสองทีมบู๊กันใน พรีเมียร์ลีก โดย เร้ด แมชีน แพ้แค่เกมเดียวเท่านั้นที่ แอนฟิลด์ ด้วยสกอร์ 1-0 ในเดือนม.ค.2021 ของซีซั่น 2020/21 ขณะที่อีกเกมจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 ในรังของ หงส์แดง เช่นกัน