การลงเล่นให้กับสโมสรบ้านเกิดมักนำมาซึ่งความกดดันและความคาดหวัง
นับตั้งแต่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด แจ้งเกิดเมื่อปี 1998 มีสเกาเซอร์ แค่สองคนเท่านั้นที่รับใช้ ลิเวอร์พูล เกินกว่า 100 นัด
คนแรกคือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และอีกคนคือ เคอร์ติส โจนส์
โจนส์ เป็นผู้เล่นที่โดดเด่นในกลุ่มช่วงวัยเดียวกัน แต่เมื่อเขาถูกโปรโมตจาก อะคาเดมี่ กลับไม่สามารถเติบโตได้รวดเร็วเท่า เจอร์ราร์ด หรือ เทรนต์
ส่วนหนึ่งก็เพราะอาการบาดเจ็บ...
การจะยึดตำแหน่งตัวจริงของ ลิเวอร์พูล ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กปั้นรายนี้มักถูกตั้งคำถามมากกว่านักเตะที่ทีมดึงเข้ามาจากที่อื่น
อย่างไรก็ตาม เหมือนว่า โจนส์ จะไม่ได้เอาสิ่งนั้นมารบกวนจิตใจเลย
"มันไม่ได้ทำให้ผมกลัวเลย ผมน่ะเป็น สเกาเซอร์นะ"
นั่นคือคำพูดของเขาตอนต้นฤดูกาล และถึงตอนนี้ก็เป็นอย่างที่เขาพูดน่ะแหละ โจนส์ กำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ
อีกไม่กี่สัปดาห์เขากำลังจะอายุครบ 23 ปีเต็ม โจนส์ ปรากฏตัวบนทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 17 ปี
และมีเพียงฤดูกาลนี้เท่านั้นที่เขาคว้าโอกาสเป็นตัวหลักแผงกลางชุดสายเลือดใหม่
ระยะหลัง เราเห็น โจนส์ สอดขึ้นทำประตูได้บ่อย ซึ่ง จริง ๆ เขาเองโดดเด่นเรื่องทำประตูและแอสซิสต์ตั้งแต่สมัยเล่น อะคาเดมี่
เช่นเดียวกับความสามารถการเลี้ยงบอล และลากบอลผ่านฝั่งตรงข้าม เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาทำผลงานด้านอื่น ๆ ได้ไม่ดีเท่าไหร่
ตอนเด็ก ๆ การเพรสซิ่ง และเล่นเกมรับ ไม่ใช่จุดเด่นของเขาเลย แต่มันเริ่มเปลี่ยนไปก็ตอนที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไอดอลของเขา เข้าไปคุม ลิเวอร์พูล รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี
ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จนนำไปสู่การที่ สตีวี่ จี สามารถพูดอะไรแบบตรงไปตรงมากับ โจนส์ ได้ แม้ว่าเป็นความจริงที่น่าเจ็บปวดก็ตาม...
เจอร์ราร์ด อยากสร้างทีมโดยมี โจนส์ เป็นศูนย์กลาง แต่ก็คงไว้ซึ่งคุณภาพมากกว่าการเล่นแบบหวือหวา
พัฒนาการผู้เล่นดาวรุ่งแต่ละคนแปรผันต่างกัน ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะลงตัวเหมือน เจอร์ราร์ด กับ เทรนต์
ตอนที่ โจนส์ ได้ร่วมงานกับทีมชุดใหญ่นั้น เขาเองก็เคยยอมรับว่ามีปัญหาเรื่องสภาพจิตใจอย่างหนัก
การไม่ได้มีส่วนร่วมกับเกมการแข่งขันทั้งที่ซ้อมหนักมาตลอดทั้งสัปดาห์ ไม่ใช่เรื่องที่ทำใจยอมรับได้ง่าย ๆ เพราะเคยชินกับการลงเล่นเป็นประจำจากชุด อะคาเดมี่
โจนส์ ในวัย 18 ปีประเดิมสนามกับ ลิเวอร์พูล ชุดใหญ่ ตอนเดือนมกราคม ปี 2019
มันเป็นเกม เอฟเอ คัพ รอบ 3 นัดบุกไปพ่ายต่อ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส
วันนั้น โจนส์ รับบทบาทตัวรุกทางฝั่งซ้าย แล้วเล่นไม่ออกเลย
หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ลงเล่นชุดใหญ่อีกเลยจนกระทั่ง 8 เดือนต่อมา
เกม คาราบาว คัพ รอบ 3 โจนส์ รับโอกาสนัดที่ ลิเวอร์พูล บุกชนะ มิลตัน คีย์น ดอนส์
ขณะที่รอบต่อมาเขามีส่วนร่วมกับประตูบนทีมชุดใหญ่ครั้งแรกเมื่อยิงลูกจุดโทษช่วงดวลฎีกาที่ ลิเวอร์พูล เจอ อาร์เซน่อล หลังเสมอกันดุเดือด 5-5
อย่างไรก็ตาม เกมที่ โจนส์ แจ้งเกิดจริง ๆ คือ เอฟเอ คัพ ที่เจอ เอฟเวอร์ตัน
วันดังกล่าว ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องใช้งานนักเตะเยาวชนเป็นหลักจนเกมดูเป็นรองทีมคู่ปรับร่วมเมือง
ถึงกระนั้น โจนส์ คือคนทำประตูชัยสุดสวย แล้วหลังจบเกมเขาให้สัมภาษณ์แสดงถึงความมั่นใจในตัวเอง
"ผมหงุดหงิดที่ไม่ได้ลงเล่นในระดับทีมชุดใหญ่มากกว่านี้" คำพูดของเด็กวัย 18 ปีที่เพิ่งผ่านเกมทีมชุดใหญ่ไปเพียง 5 นัด
ทัศนคติของเขาไม่เคยเปลี่ยน ดังที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ บอกไว้หลังเกมชนะ ฟูแล่ม 2-1
"เคอร์ติส โจนส์ มีความสำคัญมากสำหรับเรา และเขารู้ดี "
"เผอิญผมได้ยินบทสัมภาษณ์ของเขาที่บอกว่า -ผมต้องการลงเล่นมากขึ้น-"
"ผมชอบมากเลยล่ะ! ผมหัวเราะทันที ต้องขอโทษ เคอร์ติส ด้วยที่ผมไม่ได้ให้คุณลงเล่นมากกว่านี้ก่อนหน้านี้"
การต้องพักนานกว่าเดิมตอนช่วงต้นฤดูกาลก่อนกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ
ตอนนั้นเขาได้รับบาดเจ็บตรงขาแบบที่ต่างจากอาการบาดเจ็บทั่ว ๆ ไป แล้วก็ทำให้เขามีเวลาได้ประเมินเกมการเล่นของตัวเองจนถือเป็นประโยชน์ในระดับหนึ่ง
ตลอดช่วง 4 ฤดูกาลที่ผ่านมา โจนส์ ต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับการเป็นมิดฟิลด์ให้ทีมระดับ ลิเวอร์พูล
ซึ่งเขาปรับตัวได้อย่างเหมาะสม เขาขอคะแนะนำจากรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มากกว่าหลายคน
ไม่ว่าจะเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์, อดัม ลัลาน่า, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม และ ติอาโก้ อัลกันตาร่า
และการเป็นเพียงอะไหล่ในเครื่องยนต์อาจจะเคยเป็นผลเสียกับเขาในหลายครั้ง แต่มันเป็นมาตรการที่จำเป็น
โจนส์ กลับมาช่วยทีมได้ในช่วงปลายฤดูกาลก่อน
เขาเป็นตัวจริงแบบผิดคาดในเกมเจอ เชลซี และออกสตาร์ทอีกครั้งกับการรับมือ อาร์เซน่อล
คล็อปป์ เปลี่ยนไปใช้ระบบฟูลแบ็กแบบอินเวิร์ต โดย เทรนต์ ถูกจับไปเล่นเป็นกองกลาง และจู่ ๆ โจนส์ ก็เริ่มรู้สึกเหมือนกับว่านี่เป็นทีมที่เหมาะกับเขา
ซัมเมอร์ 2023 โจนส์สานต่อฟอร์มการเล่นกับทีมชาติอังกฤษ บนเวทีชิงแชมป์ยุโรป ยู-21
เขาทำประตูชัยพา "ทรี ไลออนส์" สู่แชมป์ทวีป เพียงแต่โชคไม่เข้าข้างมากพอที่จะทำให้เขามีชื่อชิงรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นามเนต์
ทว่าจนถึงตอนนี้ ไม่น่าแปลกใจหากหลายคนกำลังพูดถึงว่า โจนส์ เป็นตัวเลือกสำหรับ แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่จะลงเล่น ยูโร 2024 รอบสุดท้ายที่ ฝรั่งเศส
"ผมต้องบอกว่าพัฒนาการของเขาควบคู่ไปกับพัฒนาการของทีมที่ต้องเผชิญหน้าตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว" เป๊ป ไลน์เดอร์ส ผู้ช่วยผู้จัดการทีมพูดถึงเขา
"เขามักแสดงให้เห็นอยู่เสมอ เขาเป็นนักเตะที่เป็นผู้นำทั้งตอนมีบอล และไม่มีบอล"
"เขาเล่นในยูโร (ยู-21) ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ สำหรับผมเขาเป็นนักเตะที่ดีที่สุดที่นั่น"
"เขามีอิทธิพลอย่างมากต่อทีมทั้งตอนมีบอล และไม่มีบอล"
"มันดีมากเลยนะที่เขาปรากฏตัวตลอดทุกเวลาอีกครั้ง เรามีความสุข และภูมิใจที่เขาสร้างแรงกระตุ้นในเกม"
จากการขอคำแนะนำไปสู่การคุยแบบตัวต่อตัวกับ คล็อปป์
โจนส์ ดูคลิปการเล่นของตัวเอง, คุยเกี่ยวกับการบีบกดดันคู่แข่ง ไปจนถึงการปรับปรุงการตัดสินใจและความฉลาดในการเล่น สุดท้ายแล้วเขาพัฒนาขึ้นในทุก ๆ ด้าน
ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ คล็อปป์ โดนถามเกี่ยวกับลูกทีมคนนี้ เขามักจะพูดถึงคุณภาพด้านเทคนิคที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ
และนับตั้งแต่ โจนส์ กลับมาช่วยทีมได้เมื่อช่วงเดือนเมษายนปีก่อน คล็อปป์ ก็พูดชมความยขยันของ โจนส์ แทบไม่หยุดเลย
"การกดดัน, การเล่นแบบเคาท์เตอร์เพรสซิ่งของเขามันยอดเยี่ยม เขาเป็นคนกำหนดระดับการเล่นเลยก็ว่าได้" คือคำพูดของ คล็อปป์ ต่อฟอร์มของ โจนส์ ในเกมกับ นิวคาสเซิ่ล เมื่อช่วง 2 สัปดาห์ก่อน
แม้มีคำชมมากมายก่ายกอง แต่ยังมีการพูดถึงจุดที่เขายังสามารถปรับปรุงอีกเช่นกัน
แฟนบอล ลิเวอร์พูล บางคนต้องการให้เขาเล่นแบบรวดเร็วขึ้นบ่อยกว่านี้ แต่บางครั้งการชะลอเกมก็ถือเป็นแนวทางการคุมเกมอย่างหนึ่ง
มันเป็นสิ่งที่เขากับ คล็อปป์ คุยกันหลังจบเกมกับ เวสต์แฮม เมื่อเดือนก่อน
โจนส์ กลายเป็นตัวเชื่อมของทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะแนวรุกเก่ง ๆ และนักเตะความเร็วสูงที่ชอบบุกขึ้นหน้า
เขาผ่านบอลเข้าเป้าถึง 92.3 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ที่ทีมเปลี่ยนระบบการเล่น
"นักฟุตบอลที่เก่งมาก เก่งมาก ๆ เขาเป็นแบบนั้นเสมอ แต่การใช้ทักษะเหล่านี้ที่เขาเป็นตอนนี้ สำหรับผม สำหรับเขา สำหรับทุก ๆ คน เขาทำได้คงที่มาก มันเป็นเรื่องที่เจ๋งจริง ๆ"
"เขาก้าวขึ้นมาในเรื่องเกมรับ ซึ่งทำให้เขารู้สึกสนุกกับเกมมากขึ้น แล้วเขาสามารถแสดงให้เห็นถึงคุณภาพมากกว่าเดิม"
"เป็นเรื่องน่ายินดีกับการมีเด็กคนนี้อยู่ด้วย เพราะเขามีความมั่นใจโดยธรรมชาติแบบฉบับสเกาส์ มันเจ๋งจริง ๆ "
แล้ว ทำไม เคอร์ติส โจนส์ ถึงเล่นแบบอิสระได้มากถึงขนาดนี้ ?
ความแตกต่างระหว่างตอนนี้กับแต่ก่อน แทบเหมือนคนละโลก
การต่อสู้กับ เชลซี ที่อัดแน่นไปด้วยนักเตะค่าตัวแพง แต่กลับกลายเป็นผลผลิตจาก อะคาเดมี่ ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้โดดเด่นกว่า
แน่นอนว่าประตูของ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ ทำให้เขาเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง
แต่ว่า เคอร์ติส โจนส์ เองก็ค่อย ๆ กลายเป็นหนึ่งในคนที่เล่นได้คงเส้นคงวาที่สุดของ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้แล้ว
จุดเด่นของ โจนส์ คือการเล่นแบบอิสระ คู่แข่งเจองานยากในการประกบ เพราะเขาสามารถโผล่ไปตามที่ต่าง ๆ ในสนามได้
ตอน ลิเวอร์พูล ขึ้นเกมมาจากแดนหลัง โจนส์ มักจะอยู่ใกล้กับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ เพื่อเป็นตัวเลือกหนึ่งในการขึ้นเกมจากตรงกลาง
ถ้าเกิดสถานการณ์ไม่เอื้อให้ทำแบบนั้น โจนส์ ก็จะขยับไปอยู่ตรงริมเส้นฝั่งซ้ายโดยที่ โจ โกเมซ ซึ่งลงเล่นเป็นแบ็กซ้ายจะขยับเข้าไปด้านในเพื่อดึงปีก เชลซี ให้วิ่งตามเขาไป
การทำแบบนั้นช่วยให้ โจนส์ มีพื้นที่ว่างวิ่งไปรับบอลในจุดสูง ๆ ได้
ส่วนตอนที่ไม่ได้ครองบอล บางจังหวะ โจนส์ จะรับบทเป็นแม่ทัพในการบีบกดดันคู่แข่งในฐานะคนที่อยู่แดนหน้ามากที่สุด
แต่อีกไม่กี่วินาที เขาก็จะวิ่งกลับมาช่วยเกมรับเพื่อตัดการผ่านบอลของคู่แข่งในพื้นที่สุดท้ายที่เป็นพื้นที่ของตัวเอง
มันเป็นคุณสมบัติที่เขาทำได้ดีขึ้นในฤดูกาลนี้ เหมือนที่ คล็อปป์ เคยพูดตอนที่ ลิเวอร์พูล ชนะ นอริช 5-2 เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ก่อน
"ถ้าเกิด เคอร์ติส โจนส์ สามารถเรียนรู้การเล่นเกมรับได้แล้วล่ะก็ มันก็แปลว่าทุกคนสามารถเรียนรู้วิธีเล่นเกมรับได้เหมือนกันนั่นแหละ!"
"เขาช่วยกำหนดจังหวะการเล่นให้เราผ่านทางการเล่นเกมรุก, การบีบกดดันสูง และการเล่นแบบมีความกระตือรือร้นอย่างมาก"
"ถ้าเขาทำแบบนั้นได้มันก็แปลว่าทุกคนก็ทำได้เหมือนกัน"
HOSSALONSO