แฟนๆเรียกร้องอยากอ่านด้วย ไม่ใช่ฟังคลิปทางช่องยูทูป JK jackie อย่างเดียว
หลายคนบอกชอบอ่านมากกว่า เพราะยังคงหลงใหลในตัวอักษรเดินได้
ด้วยความเคารพ หลังจากโดนมือดีแฮ้กเพจเก่าที่มียอดผู้ติดตามเกินแสนห้าไปเล็กน้อย ผมก็มาทำใหม่ผมยังอยากมีงานเขียนในแพลทฟอร์มที่ไม่ใช่หนังสือพิมพ์แล้ว
ด้วยแนวทางเน้น "วิเคราะห์" ประเด็นข่าว ไม่เน้นเรียบเรียง หรือแปลมาลง
แบบนั้นผมว่ามีคนทำกันเยอะแล้ว
ทว่า...หลังจากไปเริ่มต้นลงสนามกับอีกแพลทฟอร์ม ทางยูทูป ชักเริ่มสนุกทางนั้น มันมีอะไรให้ทำอย่างท้าทาย อีกทั้งเมื่อได้กลายเป็นพาร์ตเนอร์กับยูทูป ปรากฏว่าได้เงินส่วนแบ่งเดือนแรกไปแล้ว....ยอดสูงขึ้นเรื่อยๆ
จนหลงลืมไปว่ายังมีงานทางเพจอยู่ 555
เอาจริงๆ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ออฟฟิซ ซินโดรม เริ่มกลับมาทักทายหลังจากหายหัวไปนาน นั่นทำให้ผมไม่ค่อยขยับตัวอะไรมากกับการนั่งพิมพ์งานหน้าจอ กลัวคอแข็งเหมือนปีที่แล้ว
เรื่องคือ...ทะลึ่งไม่ออกกำลังกาย พอไม่มีการออกกำลังกายเจ้าออฟฟิส ซินโดรม มันก็รีบแวะมาเยี่ยมทันที
ตอนนี้ไหวตัวทันเริ่มยืดเส้นสายวันละ 30-40 นาที ค่อยเบาลง จึงมาเริ่มเขียนให้อ่านกัน
เรื่องเจอร์เก้น คล็อปป์ กับสี่เดือนสุดท้ายของเขากับสโมสรแห่งนี้ ยังเป็นประเด็นที่พูดถึง
อย่างที่ผมเล่าในคลิปนะครับ....มันเป็นอาการช็อค ของแฟนหงส์ยุค โซเชียลอย่างรุนแรง พร้อมอาฟเตอร์ช้อค อีกหลายระรอก
แฟนลิเวอร์พูลเจเนอเรชั่น BB และ X ผ่านประสบการณ์แบบนี้มาก่อนแล้ว
ถึงได้งงๆอยู่เมื่อสมัยวัยรุ่นว่าในวันที่แฟนหงส์มีความสุขสุดๆ ให้ปรากฏว่าเหมือนโดนบอลอัดหน้าจนร่วงลงกับพื้น ลุกขึ้นมามึนๆงงๆ เหมือนไร้สติ หลายครั้งอยู่นะครับ ไม่ใช่ครั้งสองครั้ง
ลองทบทวนสตอรี ความช็อค ก่อนไปว่าถึงการวางมืออย่างเพียงพอของ เจอร์เก้น คล็อปป์ โค้ชผู้เป็นที่รักของแฟนหงส์ทั่วโลกในยุคนี้
ช็อคแรก....แชงคส์ ลาออก
12 ก.ค.1974 ระหว่างเริ่มพรีซีซั่น และหลังจากคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ด้วยการชนะนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ไม่ถึงสองเดือน บิลล์ แชงค์ลีย์ ประกาศลาออกจากการเป็นผ.จ.ก. ลิเวอร์พูล ทั้งที่ยังมีสัญญา และไม่มีวี่แววอะไรเลย
มีแต่จะทำทีมให้มันได้แชมป์
ช่วงเวลานั้นแฟนหงส์ยุค 70 ถึงกับช็อค ตกใจ ร่ำไห้ร้องระงมกันทั่วเมอร์ซีย์ไซด์
บิลล์ บอกว่า "เหนื่อยมาพอแล้ว อยากพักบ้างอะไรบ้าง"
มีเรื่องเล่าว่าหลังจากลาออกไปแล้ว บิลล์ ยังมาที่เมลวูด ศูนย์ฝึกซ้อมที่เขาปฏิรูปมันขึ้นมาใหม่ แต่ปรากฏว่า บ๊อบ เพสลีย์ นายใหม่ของทีมต้องชี้แจงและบอกกับ บิลล์ ว่า "อย่ามาสนามซ้อมเลย เพราะนักเตะจะสับสนว่าใครคือบอสของทีมกันแน่"
ฝรั่ง...ใช้เหตุผลคุยกันแบบนี้ตรงๆ บิลล์ ไม่กลับมาที่เมลวูดอีกเลย เขาโผล่ให้คนเห็นที่สนามบอลครั้งแรก 18 ส.ค.1974 ไม่ใช่ที่แอนฟิลด์ แต่เป็นที่กูดิสัน พาร์ค เขาไปดู เอฟเวอร์ตัน เตะดาร์บี เคาน์ตี้ วันนั้นลิเวอร์พูล ลงไปเยือน ลูตัน ทาวน์ ที่ เคนิลเวิร์ธ โรด บ้านหลังเดิมที่ทุกคนเห็นในยุคพรีเมียร์ลีกนี่แหละ
บิลล์ ต้องการไปให้ไกลจากทีมมากที่สุด อย่างไม่รู้ว่าเขาเจ็บปวดกับการลาออกหรืออย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ทายาทของเขา (เซอร์) บ๊อบ เพสลีย์ สานงานต่ออย่างสุดยอด ทำในสิ่งที่ บิลล์ ยังทำไม่ได้ให้เกิดขึ้นกับการยกระดับ "หงส์แดงตะแคงยุโรป" ในการไล่ปราบยอดทีมของทวีปจนหมดสิ้น รั้งอันดับหนึ่งของทวีปอย่างเกรียงไกร
ภายหลัง แชงค์ลีย์ ยอมรับว่า "ผมตัดสินใจผิดพลาด ที่ลาออกจากลิเวอร์พูล"
ช็อคที่สอง คิง เคนนี ยอมยกธง
22 ก.พ. 1991 เคนนี ดัลกลิช ที่ยังไม่ได้เป็นท่านเซอร์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งสร้างความตกอกตกใจและช้อคในหมู่เดอะ ค็อป อีกครั้ง...
กำลังลุ้นแชมป์กับอาร์เซนอล ในฐานะแชมป์เก่าอยู่เลย
คิง เคนนี บอกเหตุผลว่า กดดันมากจนแบกไม่ไหว อันมีปัจจัยจาก ความเจ็บปวดต่อการสูญเสียที่ "ฮิลส์โบโร" สองปีก่อนหน้านั้นเข้ามาซ้ำให้เกิดความเหนื่อยล้าในการทำงานมากขึ้น
คิง เคนนี คือผ.จ.ก. คนสุดท้ายที่พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดในยุค ดิวิชั่นหนึ่งเดิม ก่อนเปลี่ยนเป็นพรีเมียร์ลีกกว่า 30 ปีเต็ม....จนถึง เจอร์เก้น คล็อปป์ "คนที่ใช่" ที่พาหงส์แดงกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง อาจไม่ถึงจุด "ยิ่งใหญ่" เหมือนยุค บ๊อบ เพสลีย์, โจ เฟแกนหรือ เซอร์ เคนนี แต่สิ่งที่ เจเค สรรค์สร้างนั้นมีค่าไม่ด้อยกว่านั่นคือนำความสุขมาให้แฟนหงส์
ทั้งสไตล์การเล่นบอลที่เข้ากับอัตลักษณ์ของทีม ความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างที่รอคอย
ชัยชนะอย่างถล่มทลาย ทีมแล้วทีมเล่า ต่างโดนลิเวอร์พูลของเจเค ไล่ยิงอย่างสนุกเท้า บ้างก็โดน 4 บ้างก็โดน7 ลูก บ้างก็โดน 9 ลูก
ถ้าถามว่าช็อค ของคิง เคนนี สมัยผมเรียนมหาวิทยาลัยปี4 กับการช็อค ล่าสุดที่ เจเค กำลังจะลาออกเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลนี้ อะไรช็อคกว่ากัน
ผมคิดว่า คิง เคนนี ช็อคกว่า ในมุมที่ลาออกแล้วไปเลย
ใครจะมีความสามารถพอ ทำทีมที่กำลังลุ้นแชมป์ให้ได้ ซึ่งตอนนั้น รักษาการ ผ.จ.ก.รอนนี มอแรน รับงาน ชั่วคราว ตอนนั้นยังเป็นจ่าฝูงอยู่เลย จนกลางเดือน เม.ย. ได้ แกรม ซูเนสส์ อดีตกัปตันชุดเจ้ายุโรป มาคุมทีมแล้วก็ล้มเหลว รวมทั้งคือจุดเริ่มต้นแห่งความตกต่ำ นับจากนั้น…
ส่วนเจเค ประกาศวางมือล่วงหน้า 4 เดือนครึ่ง นั่นเท่ากับเรายังได้ติดตามเชียร์ งานของเจเค ในซีซั่นสุดท้ายกับลิเวอร์พูลอยู่
มันอาจกลายเป็นพลังบวกให้นักเตะและกองเชียร์ต่างร่วมแรงร่วมใจกันเลี้ยงส่ง เจเค ในทุกนัดนับจากนี้
หลายคนที่ตกใจว่าเอ๊ะ ทำไมสัญญาเหลือถึงปี 2026 และเขาเองประกาศว่า ลิเวอร์พูล 2.0 หรือเราทึกทักกันว่าเจเค 2.0 มันกำลังสร้างแถมไปได้ดีมีลุ้นสี่แชมป์ อีกต่างหาก
ทำไมวางมือง่ายจัง
มีอะไรกับ FSG มั้ย ผิดหวังอะไรยังไง เหตุผลไม่น่าฟังขึ้น
ผมแนะนำให้ไปอ่านบทสัมภาษณ์ในเวบไซด์ หรือดูคลิป สัมภาษณ์ของสโมสร นั่นแหละคือคำตอบสุดท้าย และไม่ต้องคาดเดา ยิ่งหากคุณรู้จัก เจอร์เก้น คล็อปป์ นับจาก 10 ต.ค. 2015 กว่า 8-9 ปีในการทำงาน
เขาคือคนที่ไม่ซับซ้อน คิดอะไรก็พูดตรงๆ นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาถูกรักและเป็นแขกรับเชิญในห้องนั่งเล่นช่วงฟุตบอลโลก 2006 ที่เขาทำหน้าที่วิเคราะห์เกมได้ดีเยี่ยม
ใช่ครับ เจเค เป็นคนไม่มีความซับซ้อน
ลาออกเพราะ "พลังในการทำงานร่อยหรอ" หลังจาก "ทำงานอย่างหนักมาต่อเนื่องปีละ 365 วัน"
ล่าสุดก่อนเกมพบนอริช ในเอฟเอ คัพ วันอาทิตย์นี้ เกมแรกหลังจาก เจเค ประกาศวางมือล่วงหน้า...
เขาตอบคำถามนักข่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีอาการอะไรให้รู้สึกว่า เขากำลังไปจากทีม
"ผมไม่ใช่กระต่ายน้อยที่จะกระโดดได้สูงกว่าที่เคยทำ ผมทำงานอาชีพนี้มา 24 ปี ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปหมดแล้ว เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผมก็พอ และหยุดพัก ผมไม่เสียใจในการตัดสินใจครั้งนี้"
"ผมคิดว่าผมตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว"
ดังนั้น....อย่าไปหาเหตุผลโน่นนี้ มาอธิบายเลยครับ เมื่อคุณได้เหตุผลที่ชัดเจนที่สุดจากคนที่มีความชัดเจนอย่าง เจเค
ผมว่าคนที่เป็นโค้ชด้วยกันจะเข้าใจถึงเหตุผลนี้
แฟนบอลก็จะมองอีกมุมหนึ่ง ซึ่งไม่ผิด แต่ขออย่าได้ปรามาส ติเตียน ว่า คล็อปป์ ปอด ใจไม่ถึงบ้างอะไรบ้าง ทำไมไม่เหมือน เป๊ป และ เซอร์ อเล็กซ์
ยังไงก็ไม่เหมือนแค่สัญชาติก็คนละประเทศแล้ว เติบโตมาคนละแบบ วิธีคิดก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
เจเค ไม่เหมือน เป๊ป และ ท่านเซอร์ ที่พยายามสร้างผลงานให้เป็นที่จดจำไปตำนานไปตลอดกาล
เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ใช่คนลักษณะแบบนั้น
เขาไม่ใช่คนที่ต้องการสะสมแชมป์เพื่อประกาศว่าตัวเองคือสุดยอดโค้ชที่ยิ่งใหญ่ เกรียงไกรระดับท็อปของโลก
เขาคือโค้ชที่ต้องการทำงานให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง
ทำงานอย่างหนัก แล้วเมื่อได้ผลที่ต้องการแล้ว นั่นคือบรรลุเป้าหมาย
แล้วสิ่งที่เขาทำงานหนักกับลิเวอร์พูล นั้นเกิดผลไปแล้ว
เขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรกับใครอีก งานของเขาสัมฤิทธิผล
เขาเดินทางถึงจุดหมายปลายทางเข้าเส้นชัยเรียบร้อย
นี่คือ คล็อปป์ ที่วิเคราะห์ไม่ยากเลย ไม่ซับซ้อน เห็นกันตรงๆแบบนี้
ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่า "ผมไม่ใช่คนเก่ง ที่จะคิดค้นนวัตกรรมอะไรให้โลกใบนี้ แต่ผมทำให้ผู้คนมีความสุขได้"
นั่นละครับ....ตัวตนของเขา
อย่างที่แฟนๆและสื่อได้ยินประโยคอมตะที่เป็นวาทะเด่นโดนใจเดอะ ค็อป เมื่อครั้งรับงานวันแรก
เชื่อว่า น่าจะจำกันได้อยู่นะครับ
เมื่อนักข่าวพูดเรื่อง โชเซ มูรินโญ่ คือ "เดอะ สเปเชียล วัน"
คล็อปป์ บอกว่า ถ้างั้นเขาคือ " เดอะ นอร์มัล วัน"
นั่นแหละเหมือนมีลูกเล่น แต่มันแฝงด้วยความตรงไปตรงมาเมื่อพูดถึงตัวของเขาเอง
คนธรรมดา....คนหนึ่ง
ความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองนะครับ
เจอร์เก้น คล็อปป์ คือ The Special Normal One หรือ...
คนธรรมดาที่พิเศษอย่างยิ่ง #YNWA
JACKIE