ดาร์วิน นูนเญซ 101,ไร้ โม ซาลาห์ ยังมี ดีโอโก้ โชต้า! 5 ข้อ ลิเวอร์พูล บุกขย้ำ บอร์นมัธ

ดาร์วิน นูนเญซ 101,ไร้ โม ซาลาห์ ยังมี ดีโอโก้ โชต้า! 5 ข้อ ลิเวอร์พูล บุกขย้ำ บอร์นมัธ
ดูเหมือนจะเป็นงานยากในตอนแรก แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็บุกไปสยบ บอร์นมัธ ได้แบบสบายเกือก 4-0 ในเกม พรีเมียร์ลีก ที่สนาม ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ม.ค.พร้อมทั้งนำหน้าเป็นจ่าฝูงต่อไปโดยมีแต้มฉีกหนี แมนฯ ซิตี้ แชมป์เก่าเพิ่มเป็นห้าแต้ม แต่ หงส์แดง ลงสนามมากกว่า เรือใบสีฟ้า หนึ่งนัด

1. เจ้าถิ่นจัดระเบียบเกมรับใหม่

บอร์นมัธ ตัดสินใจโรเตชั่นทีมรวมสามรายหากจะเทียบกับเกมลีกที่ออกไปพ่าย สเปอร์ส 3-1 ในวันสิ้นปี และทั้งหมดเป็นนักเตะในแผงหลังทั้งนั้น

เดอะ เชอร์รีส์ เปิดบ้านต้อนรับ ลิเวอร์พูล ด้วยการส่ง เจมส์ ฮิลล์ , คริส เมปแฮม และ แม็กซ์ อารอนส์ รับมือทีมจ่าฝูงแทน ดองโก้ วาตาร่า , มาร์กอส เซเนซี่ และ อดัม สมิธ

อย่างไรก็ดี เป็นเพราะ เซเนซี่ ติดโทษแบนลงเล่นไม่ได้ ขณะที่ โออัวตาร่า และ อันโตนี่ เซเมนโย่ ผละไปรับใช้ชาติ

นอกจากนี้ ทีมเจ้าบ้านได้ ลอยด์ เคลลี่ หายเจ็บ แต่ยังไม่ฟิตเต็มถัง และมีชื่อนั่งข้างสนามไปก่อน

2. หงส์ส่ง แบรดลีย์ ตัวจริงเกมลีกนัดแรก

ลิเวอร์พูล เปลี่ยนทีมรวมสี่ตำแหน่งจากเกมลีกนัดเฝ้าบ้านสยบ นิวคาสเซิ่ล 4-2 ในวันขึ้นปีใหม่โดย คอเนอร์ แบรดลีย์ แบ็คขวาหนุ่มถูกส่งลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกนัดแรกเนื่องจาก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ยังบาดเจ็บ

นอกจากนี้ อีกสามรายที่ได้ออกสตาร์ตประกอบไปด้วย ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ , ดีโอโก้ โชต้า และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ขณะที่ โม ซาลาห์ กับ วาตารุ เอ็นโด อยู่ในช่วงลงเล่นให้แผ่นดินเกิด

อย่างไรก็ดี ทีมเยือนยังขาด โดมินิก โซโบซไล ที่ล้มเจ็บอีกราย และไม่มีส่วนร่วมในเกมนี้

3. เครื่องจักรสีแดงยังไม่ทำงาน (ตามเคย)

ต้องบอกว่าเกมครึ่งแรกที่สนาม ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม ไม่ใช่เกมที่ดีสักเท่าไหร่ของ เครื่องจักรสีแดง เพราะกว่าที่พวกเขาจะได้ลองง้างยิงหนแรกต้องรอนานจนถึงนาทีที่ 19 จากจังหวะซัดระยะ 25 หลาของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ซึ่งส่งบอลเฉี่ยวเสาออกไป

แม้เกมโดยรวม ลิเวอร์พูล จะบุกได้มากกว่า แต่โอกาสทำเสียวแบบจะแจ้งยังไม่ปรากฏให้เห็นมากพอ แถมท้ายครึ่งแรก เดอะ เชอร์รีส์ มีลูกฮึดบุกไปสร้างปัญหาให้กับแผงหลังอาคันตุกะได้อย่างน่าดูชมด้วยก่อนที่เกมใน 45 นาทีแรกจะยุติลงไปแบบไร้สกอร์ซึ่งต้องชมว่าเจ้าบ้านรับมือกับความกดดันได้ไม่เลว ขณะที่สถิติชี้ว่า เร้ด แมชีน ยังทำงานได้ไม่เต็มร้อยจากการครองบอลที่เหนือกว่าในอัตรา 60:40% โดยทีมเยือนได้เข่นเพียงแค่ 4 ครั้งเท่านั้น และเข้ากรอบ 2 ครั้ง ขณะที่ บอร์นมัธ ได้ลองยิง 3 ครั้ง และเข้ากรอบ 1 ครั้งซึ่งถือว่าไม่เลวเลยในเกมต่อกรกับทีมจ่าฝูง

จากการให้คะแนนความสามารถนักเตะ ลิเวอร์พูล ในครึ่งแรกของ ลิเวอร์พูล เอ็คโค่ ทุกคนได้ 6 คะแนนทั้งหมดเนื่องจากไม่มีใครโดดเด่น ยกเว้น เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ได้ 7 คะแนน ขณะที่ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ได้ 8 คะแนนสูงที่สุดในสนามช่วง 45 นาทีแรกซึ่งถือว่าเหมาะสมดีเนื่องจากสตาร์ทีมชาติ อาร์เจนติน่า ร่ายลีลาได้อย่างน่าดูชมที่สุดจากสถิติสร้างโอกาสได้มากที่สุด 2 หน และแย่งบอลกลับคืนมาได้มากที่สุด 9 ครั้ง รวมทั้งชนะการดวลสูงที่สุด 7 ครั้ง

4. นูนเญซ 101 ตุง

เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ไม่มีผิดแม้เกมในครึ่งแรกของ ลิเวอร์พูล จะยังไม่ดุดัน แต่เข้าครึ่งหลังลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เร่งเครื่องกันได้เสมอ และอาศัยเวลาแค่สี่นาทีก็ได้ประตูอย่างที่ต้องการ แถมเป็นการประสานงานกันเป็นทอดๆอีกด้วยไล่ตั้งแต่ อิบราฮิม่า โกนาเต้ มาถึง ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ , ดีโอโก้ โชต้า ก่อนที่ ดาร์วิน นูนเญซ จะสับไกให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำจนได้

พร้อมกันนี้ สตาร์ทีมชาติ อุรุกวัย น่าจะมีบทเรียนด้วยดังจะเห็นว่าประตูที่เกิดขึ้นเป็นการแปบอลเล่นทางแบบเบาๆเข้าปะทะตาข่าย ไม่ได้เป็นการกระทุ้งเต็มข้อแบบเอามันส์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาซึ่งเท่าที่ผ่านมาทุกคนได้เห็นกันว่าพ่อค้าแข้งอเมริกาใต้รายนี้ใช้โอกาสเปลือง ยิงนกตกปลาอยู่ร่ำไปเนื่องจากเน้นยิงเต็มข้อ ล่อเต็มแข้ง แต่มันไม่ได้ทำให้การจบสกอร์มีความแม่นยำ ต่างไปจากยอดกองหน้าระดับพระกาฬที่รู้ดีว่าการสอยตาข่ายไม่จำเป็นต้องใช้พละกำลังอย่างบ้าระห่ำเสมอไปอย่างที่ โชต้า แสดงให้เห็นในการพาทีมเยือนนำห่างเป็น 2-0  ก่อนที่สตาร์ทีมชาติ โปรตุเกส จะแผลงฤทธิ์ซัดอีกเม็ดให้ทีมนำเพิ่มเป็น 3-0 แม้ในจังหวะแรกจะยิงวืด แต่ยังไวพอที่จะตามไปปิดจ็อบได้ด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ดี หลังตะบันให้ เร้ด แมชีน นำหน้า นูนเญซ เพิ่มสถิติยิงได้ครบ 100 เม็ดแล้วกับทั้งระดับสโมสร และทีมชาติก่อนที่เจ้าตัวจะซัดเพิ่มอีกเม็ดในช่วงทดเวลาให้ทีมกำชัยไปด้วยสกอร์ 4-0

8 - อุรุกวัย

4 - เปนญารอล

16 - อัลเมเรีย

48 - เบนฟิก้า

24 - ลิเวอร์พูล

ยิ่งไปกว่านั้น นูนเญซ ยังเป็นนักเตะคนแรกของทีมใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ที่ยิงและแอสซิสต์ได้ด้วยตัวเลขสองหลักด้วยจากผลงานตะบันได้ 10 ประตู และ 10 แอสซิสต์ ในทุกรายการด้วย  

ขณะเดียวกัน โชต้า ทั้งยิงและแอสซิสต์ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดเดียวกันเป็นครั้งที่หกแล้วโดยห้าครั้งหลังเป็นเกมเยือนล้วนๆ

นอกจาก โชต้า กับ นูนเญซ จะแบ่งกันซัดคนละสองเม็ดแล้ว แบรดลีย์ ที่ได้ประเดิมสนามเป็นตัวจริงในเกม พรีเมียร์ลีก นัดแรกก่อนโดนเปลี่ยนออกไปพักในนาทีที่ 83 ก็มีผลงานที่เลิศหรูไม่แพ้ใครจากสถิติดังนี้

6 - ชนะการดวล  

2/3 - ชนะการเข้าปะทะ

2-  สร้างโอกาส

4- แย่งบอลคืนมา 

1- แอสซิสต์ 

อีกทั้งในวัย 20 ปี 196 วัน แบรดลีย์ สร้างชื่อเป็นนักเตะรายที่สามของ หงส์แดง ที่อายุน้อยที่สุด และแอสซิสต์เกมประเดิมสนาม พรีเมียร์ลีก ได้ต่อจาก จอร์ดอน ไอบ์ และ โจ โกเมซ

จบเกม ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นถึงการเร่งเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเคย และได้ยิงรวมกันเพิ่มเป็น 14 ครั้งเข้ากรอบ 7 ครั้งจากการครองบอลที่เหนือกว่า 61:39% ขณะที่ เดอะ เชอร์รีส์ ได้ยิงเพิ่มขึ้นเป็น 11 ครั้ง แต่เข้ากรอบครั้งเดียวเท่านั้นก่อนแพ้ไปแบบไร้ข้อโต้แย้ง

5. เดินหน้าล่าแชมป์แรก

หลังบุกไปทุบ บอร์นมัธ ได้ตามเป้า จ่าฝูง พรีเมียร์ลีก จะเปลี่ยนภารกิจหันไปทุ่มเทกับการคว้าแชมป์ใบแรกในซีซั่นนี้แทนด้วยการบุกไปเยือน ฟูแล่ม ในศึก คาราบาวคัพ รอบรองชนะเลิศนัดสองวันที่ 24 ม.ค.นี้หลังจากเกมแรกพวกเขาถือแต้มต่อเอาไว้เล็กๆกับการเปิด แอนฟิลด์ เอาชนะ เจ้าสัวน้อย ได้ด้วยสกอร์ 2-1

และหากกรุยทางเข้าชิงชนะเลิศถ้วย คาราบาวคัพ ได้สำเร็จ ทีมของ คล็อปป์ ก็จะสานต่อแผนการคว้าสี่แชมป์ในซีซั่นนี้ต่อไปด้วยการเปิดบ้านฟัดกับ นอริช ในถ้วย เอฟเอคัพ วันที่ 28  ม.ค.ก่อนเจองานหนักใน พรีเมียร์ลีก สองเกมซ้อนทั้งนัดปะทะกับ เชลซี ในรังตัวเองวันที่ 31 ม.ค. แล้วจึงบุกไปเยือน อาร์เซน่อล วันที่ 4 ก.พ.

จากโปรแกรมที่ปรากฏ หาก หงส์แดง ยังโชว์ฟอร์มได้ดีเสมอต้นเสมอปลายอย่างที่เห็น มันก็อาจเป็นปีทองของพวกเขาได้เช่นกันใครจะไปรู้


ที่มาของภาพ : gettyimages,
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport