โจ โกเมซ กลายเป็นผู้เล่นอเนกประสงค์ประจำทีม ลิเวอร์พูล
ซึ่งด้วยหลากหลายในการเล่น เขาจึงสามารถช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ยามที่กองหลังคนอื่นบาดเจ็บ หรือชะลอการคว้าแนวรับคนใหม่ตอนช่วงตลาดซื้อขายเปิดทำการ
ฤดูกาลนี้ อาจพอบอกได้ว่านี่คือหนึ่งในปีที่ โกเมซ มีความสำคัญต่อทีมแบบจริงจังมากที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ ลิเวอร์พูล เมื่อตอนซัมเมอร์ 2015
2015/16 ลงเล่นทุกรายการ 7 นัด
2016/17 ลงเล่นทุกรายการ 3 นัด
2017/18 ลงเล่นทุกรายการ 31 นัด
2018/19 ลงเล่นทุกรายการ 25 นัด
2019/20 ลงเล่นทุกรายการ 43 นัด
2020/21 ลงเล่นทุกรายการ 12 นัด
2021/22 ลงเล่นทุกรายการ 21 นัด
2022/23 ลงเล่นทุกรายการ 31 นัด
และ 2023/24 ที่เพิ่งผ่านครึ่งทาง ตัวเลขขึ้นไปอยู่ที่ 27 นัด
ที่ผ่านมา ดาวเตะวัย 26 ปีแบกรับเสียงวิจารณ์ต่าง ๆ ทั้งเรื่องฟอร์มการเล่น และสภาพร่างกาย
ตลาดหน้าร้อนที่ผ่านมา เขาถูกมองว่าทีมจะขายออกไป แต่เมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ โกเมซ ต้องยืดอกมุ่งมั่นฟิตร่างกายต่อไป
อย่างไรก็ตาม ซีซั่นนี้ โกเมซ กลับมาอยู่ในจุดที่ดีที่สุดอีกครั้ง และที่สำคัญคือเล่นได้หมดไม่เกี่ยงว่าตรงไหน
คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ความคิดความอ่าน, ทัศนคติก็จะโตตามไปด้วย สิ่งนี้ก็เกิดกับเขาด้วยเช่นกัน
"ผมคิดว่าสมัยที่ผมอายุน้อยกว่านี้ ผมอาจจะต่อต้านเรื่องแบบนี้มากกว่าในทุกวันนี้ และมีมุมมองต่างออกไปเวลาเล่นในตำแหน่งนั้น"
"แต่พออายุเยอะขึ้นมันก็ต้องยอมรับเรื่องแบบนั้นให้ได้และยินดีรับความท้าทายที่รออยู่" เขาพูดไว้ตอนเดือนพฤศจิกายนปีก่อน
โกเมซ เคยตั้งแง่เรื่องการต้องถูกจับไปเล่นตำแหน่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เซนเตอร์แบ็กตามถนัด และทั้ง 27 นัดในฤดูกาลนี้ เขาได้ลงเล่นเซนเตอร์แบ็กแค่ 3 นัดเท่านั้น
"ทุกวันนี้ผมอาจจะมาถึงวัยที่ไม่ได้ต่อต้านมากมายอะไรอีกแล้ว"
"ผมคิดว่าช่วงนี้ผมคงต้องพยายามยอมรับว่าการได้ลงเล่นในตำแหน่งไหนก็ตามจะถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า"
ด้วยฟอร์มการเล่นของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, โฌแอล มาติป และ อิบราฮิม่า โกนาเต้ ทำให้เขากลายเป็นตัวเลือกลำดับ 4 ตรงปราการหลังตัวกลาง
ทว่าเมื่อไหร่ที่ได้กลับไปรับหน้าที่นั้น เขาก็ทำได้ยอดเยี่ยมเช่นในเกมเจอ แอสตัน วิลล่า
เกมนั้น ลิเวอร์พูล ทลาย วิลล่า ด้วยการเพรสซิ่งสูง การอ่านเกมของ โกเมซ เป็นกุญแจสำคัญ
"แต่เมื่อผ่านไปสักพักหนึ่งแล้วคุณจะรู้สึกชื่นชอบกับการเล่นในตำแหน่งอื่นแล้วเรียนรู้วิธีการเล่นในตำแหน่งนั้น"
"ผมเองก็สนุกกับการพยายามวิ่งขึ้นวิ่งลงและการเล่นในตำแหน่งแบบนั้นเหมือนกัน"
"มันทำให้ผมได้เจอกับความท้าทายใหม่ ๆ และผมก็ชื่นชอบความท้าทายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว"
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บทบาทที่เรียกว่า "Elbow Back" กลายเป็นเรื่องที่ได้รับความนิยม
Elbow Back คือการให้เซนเตอร์แบ็กไปเล่นเป็นฟูลแบ็ก และฝากฝังให้คน ๆ นั้นรับภารกิจสำคัญเมื่อถึงตอนที่ต้องเล่นด้วยกองหลัง 3 คน
มันเป็นการเปิดทางให้ฟูลแบ็กอีกฝั่งบุกขึ้นหน้าได้จนเป็นการสร้างโครงสร้างที่ทำให้คู่แข่งรับมือได้ยากขึ้น
อีกทั้งยังเป็นแผนที่จัดขึ้นเพื่อทำให้แนวรับแนวสุดท้ายมีความรัดกุมมากขึ้นด้วย
ในขณะที่เกมการแข่งขันเล่นกันเร็วกว่าเดิมและใช้พละกำลังทางร่างกายมากขึ้น แต่ละทีมก็มีเกมโต้กลับเร็วดีขึ้นตามไปด้วย
นั่นหมายความว่า ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องทำให้แผงหลังมีความเหนียวแน่นไม่ว่าจะเจอกับใครก็ตาม
โกเมซ จึงถูกใช้งานในตำแหน่งนั้นในเกมเยือน ลูตัน ซึ่งเน้นเล่นเกมสวนกลับเร็วตรงริมเส้นและพยายามครอสบอลเข้ามาในกรอบเขตโทษอยู่เรื่อย ๆ
ความสูงของ โกเมซ มีประโยชน์อย่างมากเวลาเจอกับลูกเซตพีซ และเขายังมาช่วยประกบได้ดีในช่วงต้นครึ่งหลังตอนที่ คาร์ลตัน มอร์ริส มีโอกาสทองส่องสกอร์
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ โกเมซ ถูกลากให้ไปเล่นตรงริมเส้นอย่างช่วยไม่ได้ในช่วงที่ ลิเวอร์พูล กำลังพยายามทำลายแนวรับที่ถอยไปตั้งรับลึก โดยที่ตอนนั้น ลูตัน ใช้เกมสวนกลับเร็วเล่นงานพวกเขาอยู่เรื่อย ๆ
ดังนั้น คล็อปป์ เลยต้องส่ง คอสตาส ซิมิกาส ซึ่งเป็นฟูลแบ็กตามธรรมชาติที่ถนัดในตำแหน่งนี้มากกว่า โกเมซ ลงไปแทน
แต่ท้ายที่สุดแล้วเกมนั้น ลิเวอร์พูล ก็ทำแต้มหล่นไป 2 แต้มอยู่ดี
ตำแหน่งฟูลแบ็กเป็นตำแหน่งที่ โกเมซ เล่นได้โดดเด่น
ด้วยความที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ถูกจับไปเล่นเป็นกองกลางมากขึ้น การให้ฟูลแบ็กขยับมาเล่นสูงก็ถือเป็นแผนสำรองที่ดี
เมื่อ เทรนต์ มีอาการบาดเจ็บจนลงเล่นไม่ได้ โกเมซ เลยถูกจับไปเป็นกองกลางจากเดิมที่เคยเป็นฟูลแบ็กในช่วงครึ่งแรกที่เจอกับ วูล์ฟส์
ทว่าเขากลับเล่นได้ย่ำแย่หลายครั้ง
ตอนพักครึ่ง ลิเวอร์พูล เปลี่ยนไปใช้แผนที่คุ้นตามากกว่าเดิม นั่นคือให้ โกเมซ กับแบ็กซ้ายอย่าง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน มาลากขึ้นหน้าตรงบริเวณริมเส้น
ผลลัพธ์จากการทำอย่างนั้นคือชัยชนะ 3-1 โดยที่ "ร็อบโบ้" กลายเป็นจุดเด่นจากการที่ทำประตูอันสุดสวยได้
ขณะที่ โกเมซ ดูทำผลงานได้ยอดเยี่ยมตรงฝั่งขวาในทั้งเกมรุกและเกมรับ
นับตั้งแต่ที่เป็นตัวสำรองที่ไม่ถูกใช้งานในเกมที่ เอติฮัด เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โกเมซ ถูกใช้งานทั้งในตำแหน่งแบ็กขวาหรือไม่ก็แบ็กซ้ายในเกม พรีเมียร์ลีก ทุกนัด
การที่เขาลงเล่นทางฝั่งขวา เป็นการทำให้ เทรนต์ ช่วยทำให้ทีมกลับมาได้ในเกมกับ ฟูแล่ม
แล้วพอถูกส่งลงสนามตอนที่ตามหลัง คริสตัล พาเลซ อยู่ 0-1 โกเมซ มีส่วนช่วยทำให้ทีมกลับมาชนะ 2-1 ได้
อย่างไรก็ตาม โกเมซ เฉิดฉายได้จริง ๆ ก็ตอนที่เป็นแบ็กซ้าย
ในเกมที่เสมอกับ อาร์เซน่อล 1-1 เขาถูกส่งลงแทน ซิมิกาส ที่มีอาการบาดเจ็บ และ บูกาโย่ ซาก้า ไม่สามารถลากผ่าน โกเมซ ได้แม้แต่ครั้งเดียวตลอดช่วง 55 นาทีที่ดวลกัน
เขาไม่ได้ช่วยทีมได้ดีแค่ในด้านเกมรับด้วย เพราะ โกเมซ เกือบจะทำให้ทีมชนะได้ด้วยซ้ำ หลังวิ่งขึ้นหน้าแล้วปั่นบอลได้เสียว น่าเสียดายเลี้ยวออกหลังไปนิดเดียว
โกเมซ ลงเล่นในตำแหน่งนั้นต่อในเกมที่ชนะ เบิร์นลี่ย์, นิวคาสเซิ่ล และอีกเกมที่เจอกับ อาร์เซน่อล
เขาทั้งเล่นเกมรับได้แข็งแกร่ง และมีเกมรุกที่อันตรายจนทำให้พักหลังมานี้ตามสื่อต่าง ๆ เริ่มมีการพูดกันแล้วว่าในเร็ว ๆ นี้เขาอาจจะทำประตูแรกในระดับทีมชุดใหญ่ได้สักที
แม้ว่าจะเป็นจ่าฝูงของลีกและมีเกมรับที่ดีที่สุดในลีก แต่มักจะมีการพูดกันอยู่บ่อย ๆ ว่าแนวรับของ ลิเวอร์พูล น่ากังวลพอตัว
การขยับไปเล่นเป็นกองกลางของ เทรนต์ ทำให้ทีมจำเป็นต้องมองหาแบ็กขวาจอมบุกคนใหม่
แต่การที่ดาวรุ่งอย่าง คอเนอร์ แบรดลี่ย์ ทำผลงานได้ดีในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อาจทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่มีปัญหาในด้านนั้นมากนัก
ถึงกระนั้น แฟนบอลหลายคนมองว่า ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องเสริมแกร่งในด้านเกมรับอย่างหนัก เพราะ มาติป กำลังจะหมดสัญญาตอนกลางปี
การถือกำเนิดของตำแหน่ง Elbow Back ทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นข่าวกับกองหลังแบบสารพัดประโยชน์ที่ถนัดเท้าซ้ายหลายคน และตอนนี้ตลาดก็เปิดทำการอยู่
แม้ว่า คอสตาส ซิมิกาส จะยกระดับการเล่นของตัวเองได้ในช่วงก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บ แต่บางคนรู้สึกว่า ลิเวอร์พูล ยังจำเป็นต้องหานักเตะที่เก่งกว่าเขาอยู่ดีในอนาคตอันใกล้
อย่างไรก็ตาม ผลงานของ โจ โกเมซ ทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล มีอะไหล่ที่ดีในทุก ๆ บทบาท
มีดพับชิ้นใหม่ (Swiss army knife) ของ ลิเวอร์พูล ไม่ใช่คนที่เก่งกาจจนถึงขนาดเล่นได้ทุกตำแหน่ง
แต่ความสามารถที่เล่นได้กับทุกบทบาทในแดนหลังของเขากำลังทำให้ ลิเวอร์พูล มีตัวเลือกที่หลากหลายในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้
และเป็นผลดีต่อการวางแผนการเสริมทัพในภายภาคหน้าอีกด้วย
Ref. This is Anfield
HOSSALONSO