ซาลาห์ มาแว้วววว,เป๊ป แค้นฝังหุ่น! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล คืนฟอร์มดับซ่า แมนซิตี้

ซาลาห์ มาแว้วววว,เป๊ป แค้นฝังหุ่น! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล คืนฟอร์มดับซ่า แมนซิตี้
ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็สร้างชื่อเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ อริตัวฉกาจได้เป็นทีมแรกใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้จากการดวลเกือกกันในเกมบิ๊กแมตช์ที่สังเวียนแข้ง แอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ต.ค.

พร้อมกันนี้ ประตูโทนของ โม ซาลาห์ สตาร์ทีมเจ้าถิ่นทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่สแปนิชของทีมมหาเศรษฐีเสียท่าให้กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ คู่ปรับคนสำคัญอีกตามเคยแม้จะว่าไปแล้วเกมนี้ เครื่องจักรสีแดง จะมีสภาพขุมกำลังที่เป็นรองอาคันตุกะไม่ใช่น้อยๆ

1.หงส์พิการ (แต่ผลงานเกินร้อย)

ก่อนลงสนามฟาดแข้งกัน ลิเวอร์พูล ได้รับข่าวร้ายตามมาอย่างไม่หยุดหย่อนเมื่อ อิบราฮิโม่ โกนาเต้ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟชาวเมืองน้ำหอมล้มเจ็บเพิ่มไปอีกราย และไม่สามารถลงเล่นกับ แมนฯ ซิตี้ ได้ทั้งๆที่ หงส์แดง เสีย โฌแอล มาติป ไปก่อนแล้ว

เท่านั้นไม่พอ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ยังมีสภาพร่างกายที่ไม่ฟิตสมบูรณ์ด้วย ยังดีที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็คซ้ายทีมชาติ สกอตแลนด์ หายเจ็บกลับมาเล่นได้ และได้ออกสตาร์ตก่อนหน้า คอสคาส ซิมิคาส ตามคาด

ด้วยเหตุนี้ ลิเวอร์พูล ซึ่งมีปัญหาในแดนหลังจึงจำเป็นต้องส่ง โจ โกเมซ บ่อน้ำมันชั้นยอดลงไปคุมเกมรับคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ขณะที่ เจมส์ มิลเนอร์ คุณน้าพลังเทอร์โบซึ่งเล่นได้แทบจะทุกตำแหน่งก็ถูกส่งลงบู๊ในฐานะแบ็คขวาแทนที่ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ที่พอจะมีชื่อนั่งเป็นตัวสำรองได้

แล้วดูเอาซิ แผงหลังที่ไม่สมประกอบชุดนี้ของ คล็อปป์ สามารถต้านทานเกมรุกที่ร้อนแรงของ แมนฯ ซิตี้ ได้อย่างไม่เป็นปัญหากระทั่งว่า เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ กับ เควิน เดอ บรอยน์ ที่ประสานงานกันได้อย่างจัดจ้านนับตั้งแต่เปิดซีซั่นคายพิษสงไม่ออกเลยก็แล้วกัน

ในทางกลับกัน โกเมซ ที่เคยทำให้สาวก เดอะ ค็อป อ่อนออกอ่อนใจมาตลอดในหลายๆเกมกลับเล่นได้อย่างสุดยอดเกินความคาดหมาย และสมควรแล้วที่จะได้รางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ขณะที่ มิลเนอร์ ยอดดาวเตะวัยดึกก็ไม่ถึงกับแก่แล้วแก่เลย และตามประกบ ฟิล โฟเด้น ได้อย่างแข็งแกร่งชนิดที่ว่าหาก ลิเวอร์พูล มี อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ลงเล่นเป็น 11 ตัวแรก เกมรับของพวกเขาอาจไม่ลงตัวอย่างที่เห็นก็เป็นได้เนื่องจากอาจเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ได้โจมตีอย่างเมามัน

2.ครึ่งแรกเกมจืดชืด สองทีมเน้นรัดกุม

ด้วยเหตุที่ต่างก็เป็นสองทีมที่รู้ไส้รู้พุงกันดี เราจึงได้เห็นกันว่าเกมในครึ่งแรกยังเป็นไปแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย และไม่ถึงกับออกรสมากนักแม้ว่า แมนฯ ซิตี้ จะครองเกมได้เหนือกว่าตามสเต็ปก็ตาม

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะต่างก็รู้ดีว่าใครพลาดก่อนก็มีโอกาสแพ้สูง ฉะนั้นแล้วเกมใน 45 นาทีแรกจึงเป็นเหมือนการหยั่งเชิงกันไปก่อนโดยเฉพาะฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่ซีซั่นนี้ออกจะมีผลงานไม่อยู่กับร่องกับรอย การเล่นแบบเน้นรัดกุมจึงเป็นสิ่งสำคัญแม้ล่าสุดพวกเขาจะเรียกความมั่นใจได้เป็นพะเรอเกวียนก็ตามจากเกม แชมเปี้ยนส์ลีก ที่บุกไปขยี้ เรนเจอร์ส ย่อยยับ 7-1

จนในที่สุด หลังท่านเปาเป่าจบเกมครึ่งแรกที่ แอนฟิลด์ ทั้งสองฝ่ายจึงมีจังหวะจะแจ้งไม่มากเท่าไหร่โดยเจ้าบ้านได้ครองบอล 45% และได้ส่องยิง 3 หน เข้ากรอบ 1 หน ขณะที่ทีมเยือนครองบอลได้มากกว่า 55% และได้ยิง 8 หน เข้ากรอบ 3 หน


3.ครึ่งหลังหนังคนละม้วน

จากสกอร์ 0-0 ในครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ กลับมาเล่นในครึ่งหลังด้วยการชวนทะเลาะแบบเต็มร้อยทันทีหมายเดินหน้าล่าประตูให้ได้ ขณะที่ หงส์แดง ก็ดูจะมั่นใจไม่แพ้กันที่ไม่เสียท่าให้กับทีมเงินถังใน 45 นาทีแรก

และแล้ว เกมในครึ่งหลังจึงเปลี่ยนจากสารคดีมาเป็นหนังแอกชั่นบู๊ล้างผลาญที่ทำให้แฟนบอลนั่งกันไม่ติดเก้าอี้โดยต่างก็มีโอกาสทำเสียวด้วยกันตลอดเวลาดังจะเห็นว่าแม้ เรือใบสีฟ้า จะบุกได้มากกว่า แต่ก็ไม่ง่ายที่จะได้ประตู ขณะที่ทีมเจ้าบ้านช่ำชองอยู่แล้วในเรื่องการหาโอกาสโต้กลับเร็วอันเป็นไม้ตายที่พวกเขาใช้เล่นงานทีมของ กวาร์ดิโอล่า ได้หลายครั้ง

จนในที่สุด ซาลาห์ ก็สบโอกาสทะลุไปส่งบอลผ่าน เอแดร์ซอน เป็นประตูชัยของ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จในนาทีที่ 75 ซึ่งประตูที่สำคัญนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ อลิสซง ด้วยเนื่องจากเป็นครั้งที่สามในเกม พรีเมียร์ลีก แล้วที่มือกาวชาวเมืองกาแฟแอสซิสต์ให้สตาร์ไอยุปต์ซัดประตูได้ในลักษณะเดียวกัน แถมยังเป็นสถิติแอสซิสต์ที่สูงที่สุดในเกม พรีเมียร์ลีก ด้วยต่อการที่ผู้รักษาประตูจ่ายบอลให้ทีมเมทคนเดียวกันสอยตาข่ายได้

รวมแล้ว 90 นาที ลิเวอร์พูล ได้ครองบอล 36% ได้สับไก 13 ครั้ง เข้ากรอบ 2 ครั้ง ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ได้ครองบอล  64% ได้สับไก 16 ครั้ง และเข้ากรอบ 6 ครั้ง

4.ที่นี่ แอนฟิลด์

บอกได้เลยว่าทุกครั้งที่ กวาร์ดิโอล่า  ต้องปะทะกับ ลิเวอร์พูล ไม่ว่าที่ไหน และเมื่อไหร่ ยอดกุนซือกาตาลันมักต้องเป็นฝ่ายผิดหวังอยู่บ่อยครั้งประดุจไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ และเหมือนแพ้ทางราวกับงูเหลือมเจอเชือกกล้วยยังไงยังงั้น

และเกมนี้ก็เช่นกันที่นายใหญ่สกินเฮดหัวเสียอย่างแรงที่ต้องเห็นทีมบุกมาเสียท่าให้กับ หงส์แดง แบบหวุดหวิดทั้งๆที่เขาสู้อุตสาห์ดึง ฮาลันด์ มาเสริมทัพ แต่สตาร์ทีมชาติ นอรเวย์ ก็ไม่อาจกระซวกประตูทีมเจ้าบ้านได้ทั้งๆที่ถูกเก็บตัวให้พักไม่ต้องเหนื่อยในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อกลางสัปดาห์หมายให้เป็นตัวทีเด็ดของทีมแท้ๆ

จนในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็กลายเป็นหนามยอกอก กวาร์ดิโอล่า อีกจนได้ และทำให้นายใหญ่ เรือใบสีฟ้า ถึงกับตบะแตกเอ่ยปากหลังเกมว่าแฟนบอล เดอะ ค็อป ประกอบกับบรรยากาศใน แอนฟิลด์ กดดันผู้ตัดสินจนต้องริบประตูจาก ฟิล โฟเด้น คืน

ยิ่งไปกว่านั้น กวาร์ดิโอล่า ไม่แฮปปี้เช่นกันที่แฟนบอล หงส์แดง ขว้างปาสิ่งของลงมาในสนามจากการให้สัมภาษณ์หลังเกมซึ่งงานนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสองทีมนี้ และสองกุนซือยอดฝีมือจะต้องจองล้างจองผลาญกันไปอีกนานชนิดไม่คิดเผาผีกันอย่างแน่นอนที่สุด

5.สถิติหลังจบเกม

-ลิเวอร์พูล ไม่แพ้เกมลีกที่ แอนฟิลด์ มานาน 28 นัดแล้ว (ชนะ 21 เสมอ 7) นับตั้งแต่พวกเขาแพ้หกนัดรวดระหว่างเดือนม.ค.-มี.ค.2021

-แมนฯ ซิตี้ แพ้เกมเยือนในลีกเป็นนัดแรกของพวกเขานับตั้งแต่เดือนส.ค.2021 ที่ปราชัยให้กับ สเปอร์ส พร้อมทั้งถูก ลิเวอร์พูล หยุดสถิติที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรด้วยเช่นกัน (22นัด) ซึ่งถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดเป็นอันดับสี่ใน พรีเมียร์ลีก

-เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แพ้ เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นเกมที่ 11 แล้วซึ่งแน่นอนว่าเป็นสถิติที่แย่ที่สุดของกุนซือสแปนิชต่อการดวลกับฝ่ายตรงข้าม

-โม ซาลาห์ มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับ 14 ประตูที่ ลิเวอร์พูล ยิง แมนฯ ซิตี้ ได้ในทุกรายการ (9ประตู 5 แอสซิสต์) ซึ่งถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขากับคู่แข่งทุกรายของ หงส์แดง


ที่มาของภาพ : gettyimages.ae
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport