ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้อย่างดุดันในแมตช์บุกชนะ เบิร์นลี่ย์ 2-0 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอังคารที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา โดย "หงส์แดง" แทบจะครองเกมได้ตลอด และสร้างโอกาสได้มากมาย แต่จังหวะการจบสกอร์ยังขาดความเฉียบคม ขณะที่แนวรับของทีมมีการเล่นผิดพลาดกันไปบ้าง และทำให้ทีมเกือบเสียประตู แต่สุดท้ายก็สามารถเอาตัวรอดได้ ที่สำคัญแมตช์นี้ ดาร์วิน นูนเญซ กลับมาทำประตูได้สำเร็จหลังเท้าบอดไปถึง 12 เกม ขณะที่ ดีโอโก้ โชต้า หายเจ็บปุ๊บกลับมายิงประตูปั๊บถือเป็นเรื่องดีสำหรับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ได้แนวรุกกลับมาครบสมบูรณ์อีกครั้ง
1. คืนชีพ โชต้า
การได้ ดีโอโก้ โชต้า กลับคืนทีมเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมสำหรับ คล็อปป์ อย่างมาก เพราะนั่นทำให้เขาสามารถจัดแนวรุกได้หลากหลายมากขึ้น ที่สำคัญในยามคับขัน ดาวเตะชาวโปรตุกีสมักจะลงมาแก้ไขปัญหาได้เสมอ
โชต้า พลาดลงสนามให้กับทัพ "หงส์แดง" นับตั้งแต่ที่ได้รับบาดเจ็บต้นขาในแมตช์เสมอ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา แน่นอนว่าการไม่มีเขาอยู่ในขุมกำลังทำให้ นายใหญ่ชาวเยอรมัน มักจะต้องเจอกับปัญหาในการจัดวางผู้เล่นแนวรุก
สำหรับกับ เบิร์นลี่ย์ การเห็น โชต้า นั่งอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรองถือเป็นเรื่องดีมากๆ เพราะหากถึงเวลาที่ทีมต้องการประตูและแนวรุกฟอร์มฝืดการส่ง ดาวเตะแดนฝอยทอง ลงสนามมักจะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้เสมอ
กองหน้าทีมชาติโปรตุเกส ลงสนามในนาทีที่ 84 และใช้เวลาแค่ 6 นาทีก็สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้อย่างยอดเยี่ยม ที่สำคัญการจบสกอร์ของ โชต้า แสดงให้เห็นว่าเขายังคงมีความเฉียบคมแม้จะร้างสนามไปเกือบเดือนก็ตาม
ส่วน โคดี้ กัคโป กับ หลุยส์ ดิอาซ ถือว่าผลงานอยู่ในระดับมาตรฐาน สำหรับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แม้จะมีจังหวะหวือหวาและสร้างปัญหาในเกมรับเจ้าบ้าน แต่ผลงานโดยรวมถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน
2. นูนเญซ พัฒนาจบสกอร์
หลังจากที่โดนวิจารณ์เรื่องการจบสกอร์มาตลอด แต่ ดาร์วิน นูนเญซ พยายามที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง และในเกมนี้เขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการจบสกอร์ที่คมกริบเหมือนกับตอนเล่นให้ทีมชาติอุรุกวัยเป็นยังไง !!
นูนเญซ เท้าบอดมานาน 12 เกมติดต่อกันแล้ว และแน่นอนว่าเขาตกเป็นเป้าโจมตีจากบรรดากูรูลูกหนัง แต่สิ่งที่ ดาวเตะชาวอุรุกวัย แสดงให้เห็นก็คือการมีส่วนร่วมกับเกม และวิ่งไล่บอลช่วยทีม รวมทั้งมีจังหวะแอสซิสต์ให้เห็นอยู่บ่อยๆ
ในเกมกับ เบิร์นลี่ย์ เจ้าตัวได้แสดงศักยภาพที่ยอดเยี่ยมในการจบสกอร์ด้วยจังหวะการยิงนอกกรอบที่สุดเฉียบคม ที่สำคัญยังเป็นการยิงนอกกรอบในระดับสโมสรเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2021 สมัยที่ยังเล่นให้กับ เบนฟิก้า
แมตช์นี้ นูนเญซ แสดงให้เห็นจุดเด่นหลายเรื่องทั้งการยืนหาตำแหน่งได้ดี, การวิ่งไล่บอลทุกจังหวะ, พยายามที่จะเชื่อมเกมในแนวรุก ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่มีอยู่ในตัวเขามากยิ่งขึ้น
3. ค้นพบแบ็กซ้ายคนใหม่
ปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บเป็นสิ่งที่คู่กับ "หงส์แดง" ในช่วงหลายๆ ฤดูกาลที่ผ่านมา แต่สำหรับซีซั่นนี้พวกเขาต้องเจอกับปัญหาใหญ่นั่นก็คือการขาดแบ็กซ้ายคนสำคัญไปทั้ง 2 คน
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ต้องเข้ารับการผ่าตัดไหล่พักยาวกว่า 3 เดือน ขณะที่ คอสตาส ซิมิกาส ก็เพิ่งจะดวงแตกบาดเจ็บไหล่จากจังหวะชนกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในเกมเสมอ อาร์เซน่อล 1-1 เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ด้วยเหตุนี้ คล็อปป์ จำเป็นต้องใช้งาน โจ โกเมซ ให้ทำหน้าที่ดังกล่าว และกลายเป็นว่านักเตะสามารถสวมบทบาทนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม จุดเด่นของเขาก็คือการเล่นเกมรับที่เหนียวแน่น แต่อาจจะต้องปรับปรุงเรื่องการเติมเกมบุก, การเปิดบอลริมเส้น และการจบสกอร์
อย่างไรก็ตาม โกเมซ ถือเป็นยางอะไหล่ชั้นดีที่ คล็อปป์ กล้าตัดสินใจส่งเขาลงประจำการในตำแหน่งแบ็กซ้าย เพราะ 2 แมตช์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่านักเตะมีพัฒนาการขึ้น และเล่นได้อย่างคงเส้นคงวา
ถ้าหาก ดาวเตะเลือดผู้ดี วัย 26 ปี สามารถพัฒนาในเรื่องการเล่นเกมรุกและการครอสบอลริมเส้นให้ดีขึ้น เชื่อว่าเขาจะเป็นตัวเลือกชั้นดีสำหรับ คล็อปป์ ในตำแหน่งแบ็กซ้ายแน่นอน
4. เบิร์นลี่ย์ไม่คมไม่งั้น....
ลิเวอร์พูล อาจจะทำเกมรุกได้ดีแต่การจบสกอร์ยังขาดความแน่นอน แต่สำหรับเกมรับแม้ดูเหมือนจะเล่นได้อย่างเหนียวแน่น แต่ในบางจังหวะพวกเขาก็ทำผิดพลาดและเกือบเสียประตูเลยทีเดียว
"เดอะ เร้ดส์" มักจะเล่นค่อนข้างลนลานในหลายจังหวะและทำให้ เบิร์นลี่ย์ มีโอกาสได้จบสกอร์ โดยเฉพาะในครึ่งหลังทีมเยือนทำพลาดหลายครั้ง เดชะบุญที่เจ้าบ้านขาดความเฉียบคม ไม่อย่างนั้นสกอร์อาจไม่ใช่แบบนี้
จังหวะที่ ลิเวอร์พูล น่าจะเสียประตูมากที่สุดคงหนีไม่พ้นตอนที่ วาตารุ เอ็นโด ส่งบอลพลาดบริเวณเกือบกลางสนาม และ เบิร์นลี่ย์ ได้หลุดไปจบสกอร์ แต่น่าเสียดายที่ ยาค็อบ บรูน ลาร์เซ่น ยิงเฉียดเสาออกไปนิดเดียวเท่านั้น
ลองนึกภาพถ้าหากจังหวะที่ ลิเวอร์พูล เล่นผิดพลาดเกิดขึ้นในการพบกับ อาร์เซน่อล , แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะต้องน้ำตาตกจากการเล่นที่หละหลวมแบบนี้
5. จบปี 2023 ด้วยผลงานฮึกเหิม
ตอนนี้ ลิเวอร์พูล คือคู่แข่งแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกของ อาร์เซน่อล แบบเต็มตัว หลังจากที่เก็บ 3 คะแนนในเกมนี้ทำให้ทีมขึ้นไปรั้งจ่าฝูงเรียบร้อยแล้ว โดยมี 42 คะแนนนำ อาร์เซน่อล 2 แต้ม แต่แข่งมากกว่า 1 นัด
ตอนนี้เกมลีกผ่านไปครึ่งทางแล้ว แต่การลุ้นแชมป์ยังคงสนุกเร้าใจ แม้ว่า ลิเวอร์พูล อาจจะยังขาดการเล่นที่คงเส้นคงวาไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นของพวกเขาก็คือการเล่นด้วยจิญวิญญาณที่ฮึกเหิม และไม่เคยยอมแพ้
สำหรับปี 2023 ลิเวอร์พูล ทำผลงานโดยรวมน่าประทับใจโดยเฉพาะกับการเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ พวกเขายังไม่แค่ใครและเสมอ 2 แมตช์ในฤดูกาลนี้ ดังนั้นนี่คือจุดแข็งที่ทุกทีมต้องรู้สึกเกรงขามเมื่อต้องมาเยือนบ้านของ "หงส์แดง"
สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับ ลิเวอร์พูล ก็คือในช่วงต้นปี 2024 พวกเขามีโปรแกรมหนักพอสมควร และยังต้องขาดผู้เล่นตัวหลักอย่าง โม ซาลาห์ กับ เอ็นโด ที่ต้องไปรับใช้ทีมชาติ นั่นคือเรื่องที่ คล็อปป์ แอนด์ โค. ต้องหาทางแก้ไขให้ได้ เพื่อโอกาสในการลุ้นแชมป์ยาวๆ
ทอมเม้ง