คืนแห่งความบ้าคลั่ง! ลิเวอร์พูล ฟอร์มไม่สวยแต่พลิกนรกกลับมาได้

คืนแห่งความบ้าคลั่ง! ลิเวอร์พูล ฟอร์มไม่สวยแต่พลิกนรกกลับมาได้
ทำเอาคู่ เวสต์แฮม กับ คริสตัล พาเลซ ที่ยิงกันทีมละประตูมองค้อนกันเลยนะครับ

คู่ บอร์นมัธ กับ แอสตัน วิลล่า (2-2) อัดกัน 4 ประตู

คู่ เชลซี กับ ไบรท์ตัน (3-2) กระซวกกัน 5 ประตู

คู่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ สเปอร์ส (3-3) ถล่มกัน 6 ประตู

คู่ ลิเวอร์พูล กับ ฟูแล่ม บอมบ์กันแหลกลาญ 7 ประตู ในชัยชนะบีบหัวใจของทีมหงส์แดง 4-3

เป็นวันที่พรีเมียร์ลีกบ้าคลั่งเอาเรื่อง 5 คู่ 24 ประตู เฉลี่ยคู่ละ 4.8 ประตู และไม่มีทีมไหนทำประตูไม่ได้เลย

ด้วยความที่ไปโฟกัสอยู่กับเกมที่แอนฟิลด์ ผมจึงได้ดูแมตช์เต็มเกมอีกแค่คู่เดียวคือสงครามแลกแข้งกันที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ซึ่งเตะเป็นคู่หลังสุดเท่านั้น ไม่ได้ดูอีก 3 คู่ที่เหลือ

ได้แต่ตามดูเอาจากไฮไลต์หลังเกม ก็พบว่ามีความน่าตื่นเต้นระทึกใจสำหรับกองเชียร์ทั้งสิ้น ไม่มีคู่ไหนน่าเบื่อเลย พูดได้ว่าเป็นคืนที่พรีเมียร์ลีกฝากความกระชุ่มกระชวยไว้ในอารมณ์โดยแท้

เฉพาะกับเกมที่ได้ดูกับตา เมื่อคืนนี้เรื่องดีกรีความมันผมยกให้คู่ แมนฯ ซิตี้ - สเปอร์ส มาที่หนึ่งเพราะเปรียบเป็นมวยก็มวยเดินท้าแลกหมัดกันไม่กลัวเจ็บตลอด 90 นาที แต่เกมที่ดราม่าตรึงใจในสถานการณ์พลิกไปพลิกมาก็ต้องที่แอนฟิลด์

หัวใจของใครที่เป็นเดอะค็อปคงได้เต้นระส่ำในความบ้าระห่ำที่เกิดขึ้น สิ่งที่ดีที่สุดก็คือสุดท้ายแล้วมันจบลงด้วยชัยชนะ

สวยไม่สวยไม่สำคัญ กระเสือกกระสนดิ้นรนชนะอย่างหืดจับก็ไม่เป็นไร ในเมื่อผลลัพธ์ของเกม 4-3 ออกมาเป็นลิเวอร์พูลชนะ สำหรับเดอะค็อปแล้วมันย่อมดีทั้งหมด

ยิ่งพลิกนรกกลับมาชนะได้อย่างนี้ ด้วยแต่ละประตูที่สวยระดับส่งประกวดได้ทั้งนั้นอย่างนี้ ด้วยประตูตีเสมอ 3-3 กับแซงพิชิต 4-3 ห่างกันแค่นาทีเดียวในช่วงเวลาวิกฤติต่อหน้ากองเชียร์ฝั่งเดอะค็อปสแตนด์อย่างนี้.. ให้อธิบายสั้นๆ ถึงความรู้สึกก็คงบอกได้แค่ว่ามันช่างดีเหลือเกิน

ผมชอบประตูตีเสมอ 3-3 ของ วาตารุ เอ็นโด มันสำคัญยิ่งยวดเพราะเป็นประตูกระตุ้นความหวังที่จะเอาชนะกลับมาอีกครั้ง มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะที่สุด นาทีที่ 87 เป็นช่วงที่ความกังวลของแฟนบอลพุ่งสูง ถ้าหวังชนะประตูตีเสมอต้องเกิดขึ้นได้แล้ว และเอนโดก็นำมันมามอบให้กับเดอะค็อปจริงๆ

บรรยากาศเวลานั้นคงไม่ผิดไปจากเกมยูโรเปี้ยนไนท์อันเลื่องชื่อแห่งแอนฟิลด์ เสียงเชียร์กระหึ่มกึกก้องตะโกนเร่งเร้าทุกๆ จังหวะ กระตุ้นเลือดลมให้ฉีดพล่าน อุณหภูมิของเกมทะลักจุดเดือด ปรอทขึ้นแดงเต็มขีด

แล้วทุกอย่างก็แตกโพละ ก้อนอารมณ์ทั้งมวลระเบิดออกมาตูมใหญ่ด้วยลูกวอลเล่ย์สะใจของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

2 นาทีที่แล้วทีมยังตามหลังอยู่เลย.. ความวิตกกังวลยังพลุ่งพล่านอยู่เลย.. แล้วในฉับพลันเราก็ได้สำลักความสุขที่ล้นทะลัก

ผมให้ประตูของเทรนต์เฉือนชนะลูกยิงของเอ็นโดในแง่อารมณ์ด้วยภาพที่ทุกคนในสนามปลดปล่อยความรู้สึกออกมาเต็มที่ เทรนต์กางแขนสองข้างสุดเหยียดวิ่งแหกปากลั่นไปฉลองที่มุมธง เพื่อนร่วมทีมวิ่งกรูกันมาจากสารพัดทางเข้าไปหาเจ้าของเสื้อหมายเลข 66 กระโจนโถมกอดดีใจ แย่งกันพูดวุ่นวายฟังไม่ได้ศัพท์

ความเบิกบานปกคลุมไปทั่ว  เสียงโห่ร้องดังสนั่น กึกก้องปานสนามกำลังถล่ม

ชนะแบบนี้ โยนเรื่องความน่าอึดอัดของเกมทิ้งไปเลย มันไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว ชนะแบบนี้มันดีต่อใจยิ่งกว่าการชนะแบบง่ายๆ เสียอีก

เดอะค็อปอย่างเราได้บริหารหัวใจกันบ่อยเหลือเกิน เพราะช่วงเวลา คล็อปป์ไทม์ โผล่มาทำงานของมันอยู่เรื่อยๆ

ยกความดีความชอบให้กับความพยายามของนักเตะลิเวอร์พูลทุกคน เกมนี้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นตลอดเวลา เกมรับหละหลวม เกมบุกไม่ไหลลื่น ส่งบอลให้กันขาดๆ เกินๆ

ได้ประตูยาก เสียประตูง่าย

แต่แคแร็กเตอร์ของนักเตะหงส์แดงแข็งแกร่งมากใน 90 นาทีของเกมนี้ มันเป็นเกมที่ต้องชนะและพวกเขาสู้อย่างบ้าเลือดเพื่อเอามันมาให้ได้ ประตู 2-3 ของ บ็อบบี้ รีด ทำให้เข่าทรุดและความหวังแทบหลุดลอย เพราะเวลาเหลืออีกเพียงสิบนาทีและทีมต้องยิงถึง 2 ประตูเพื่อทำให้ได้ตามเป้าหมาย

ในเกมที่เล่นกันไม่ดีเลยและเวลาที่เหลือไม่มาก มันเป็นเรื่องยากที่จะมั่นใจว่าทีมจะรัว 2 ประตูได้จริง.. แต่ทุกคนดันทำได้จริงๆ

นักเตะลิเวอร์พูลทั้งตัวจริงตัวสำรองไล่บดบี้แบบปล่อยพลังออกมาจนสิ้น วิ่งกันลืมตายเหมือนคนเลือดเข้าตา มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่น่าชื่นใจสำหรับกองเชียร์ พวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าได้เห็นความมุ่งมั่นถวายชีวิตอย่างนี้

และก็นั่นล่ะครับ เมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นการแซงกลับมาชนะ 4-3 ได้จริงๆ ความรู้สึกจึงดีเหลือเกิน

ในครึ่งหลังที่เกมยังตื้อๆ เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนตัวได้น่าสนใจอีกครั้ง เขาส่ง โจ โกเมซ กับ โกดี้ คักโป ลงมาแทน โดมินิก โซโบซไล และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์

ให้โกเมซยืนแบ๊กขวา ดันเทรนต์ขึ้นมาเล่นกองกลางเต็มตัวร่วมกับ ไรอัน กราเฟนแบร์ค คักโปเป็นตัวรุกหลังศูนย์หน้า ดาร์วิน นูนเญซ ที่ยังได้รับโอกาสให้อยู่ต่อในสนามแม้ผลงานตลอดหกสิบกว่านาทีที่ผ่านมายังน่าผิดหวัง

เกมในครึ่งแรกดาร์วินเอาสมาธิไปใช้กับเรื่องอื่นมากเกินไป ดีดตัวล้มเรียกฟาวล์ 2-3 ครั้งเหมือนจะพยายามเอาชนะเสียงนกหวีด การตัดสินใจสุดท้ายและบอลแรกยังไม่ดี ดูออกชัดว่ายังกดดันอยู่ไม่ผ่อนคลาย

ครึ่งหลังดูดีขึ้นโดยเฉพาะจังหวะวิ่งสปีดทำทางให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไหลบอลให้ยิง เขาหวดบอลได้ดี มั่นใจไม่ลนลานเหมือนที่ผ่านๆ มา น่าเสียดายที่บอลพุ่งสูงชนคานแทนที่จะเข้าประตู

แน่นอนเขายังต้องขัดเกลาต่อไป มันอาจจะมีจังหวะไม่ลงตัวให้หงุดหงิดบ้างเป็นพักๆ แต่เห็นความทุ่มเทวิ่งเป็นบ้าเป็นหลังของเขาแล้วแฟนบอลก็คงโกรธไม่ลง นั่นเป็นข้อดีมากๆ ของดาร์วินที่ทำให้เขายังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเดอะค็อป

การเปลี่ยน อิบราฮิมา โกนาเต้ ลงแทน โฌแอล มาติป เป็นเรื่องนอกแผนเพราะปราการหลังชาวแคเมอรูนเจ็บและทีมไม่ได้ต้องการเสริมเกมรับแต่กำลังบุกเพื่อทำประตู 3-2 ให้ได้ กระนั้นมันก็ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับทีมได้บ้างเนื่องจากมาติปเองก็เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน

การวางแผนของ มาร์โก ซิลวา ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ฟูแล่มมีนักเตะประสิทธิภาพสูงในเกมรุกหลายคนและเขาเลือกใช้งานลูกทีมได้ดี

เขาเลือกใช้ความสดของ แฮร์รี่ วิลสัน อเล็กซ์ อิโวบี้ และ อันเดรส เปเรยร่า ก่อน วิลเลียน และ บ็อบบี้ รีด หวังผลเอาจากความคล่องและความเร็วในการเล่นโต้กลับ ความสดที่ต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงตลอดเวลา ลูกโยนเข้ากลางแม่นๆ ที่มีกองหน้าอย่าง ราอูล ฮิมิเนซ ค้ำในเขตโทษ รวมทั้งการเรียกฟาวล์เอาลูกตั้งเตะทั้งหลาย

ถ้าเกมรับของลิเวอร์พูลผิดพลาดหรือขาดสมาธิ นักเตะเกมรุกกลุ่มนี้พร้อมจะลงโทษเจ้าถิ่นได้เลย อย่างที่เห็นในหลายๆ จังหวะของครึ่งแรก

วิลเลียน กับ รีด รวมทั้ง ทอม แคร์นี่ย์ ทยอยถูกส่งลงมาในครึ่งหลังเพื่อแทนที่ตัวรุกทั้งสามซึ่งเริ่มอ่อนแรง เป็นการบริหารเวลาและตัวผู้เล่นที่ดีเยี่ยม เพราะไม่ได้ทำให้แท็กติกของตัวเองเสียไป ที่สำคัญมันยังได้ผลดีเลิศกว่านั้นด้วยการได้ประตู

วิลเลียนไหล แคร์นี่ย์เปิด รีดโขกตุงตาข่าย.. ฟูแล่มแซง 3-2

การลงสนามของ วาตารุ เอ็นโด สามนาทีหลังจากนั้นคืออีกหนึ่งไฮไลต์ของเกม

กัปตันทีมชาติญี่ปุ่นถูกส่งลงมาแทนกราเฟนแบร์ค เพื่อรับผิดชอบตำแหน่งเบอร์ 6 เพียงคนเดียว ทำหน้าที่ปัดกวาด ตัดเกมเมื่อจำเป็น และแย่งเก็บบอลจังหวะสองในเวลาที่ทีมต้องขยับเกมดันสูงขึ้นไปอีก เทรนต์เสียบขึ้นเกมรุกเต็มตัวร่วมกับแนวรุกทั้ง 4 คน ซาลาห์ ดาร์วิน คักโป ดิอาซ

เอ็นโด ทำหน้าที่ได้เยี่ยม ชิงจังหวะแย่งบอลได้หลายครั้งทำให้ทีมขึงเกมรุกต่อเนื่อง ไม่กลัวที่จะบวกแลกในภาวะ 50/50 จังหวะเขาดีขึ้นไม่เข้าช้าทำฟาวล์พรวดพราดอย่างช่วงปรับตัวแรกๆ แล้ว

ที่สำคัญคือเติมขึ้นไปเป็นตัวรุกพิเศษในวินาทีที่ทีมต้องการ ประตู 3-3 เพื่อนเกมรุกทุกคนถูกปิดพื้นที่หมด แต่มิดฟิลด์เลือดบูชิโดขยับขึ้นไปเรียกรับบอลจากซาลาห์และก็ยังจบสกอร์ได้อย่างหมดจดที่สุด

สุดท้ายแล้วมันอาจไม่ใช่เกมที่ผลงานในสนามอยู่ในระดับสุดยอดหรือเต็มสิบ เพราะไม่เพียงตัวเองเล่นติดๆ ขัดๆ เท่านั้น แต่ฟูแล่มยังเตรียมตัวมาสู้ได้ดี ทว่าลิเวอร์พูลก็ยังหาทางเอาตัวรอดเก็บสามคะแนนตามเป้าหมายจนได้ หลายครั้งที่ฟุตบอลมันก็เป็นอย่างนี้จริงๆ เล่นดีอาจไม่ชนะ เล่นไม่ค่อยดีแต่ก็ยังชนะ

หากเรื่องความเมามันนั้นเกินร้อย ช่วงสิบนาทีสุดท้ายคือช่วงทองคำของเกมนี้เลย

ชนะในเกมอย่างนี้ด้วยการพลิกไปพลิกมาแบบนี้และการได้ระเบิดอารมณ์ขนาดนี้ น่าอิจฉาเดอะค็อปเขานะครับ.. นั่นแหละ ผมก็ยังรู้สึกอิจฉาตัวเองเหมือนกัลล์

ป.ล. ให้คะแนนความสวยในประตูทั้ง 4 ของลิเวอร์พูล

1-0 เทรนต์ ยิงฟรีคิก.. เต็มสิบไม่หัก

2-1 แม็ค อัลลิสเตอร์ ตะบัน 30 หลา.. เต็มสิบไม่หัก

3-3 เอ็นโด อัดเน้นๆ.. เต็มสิบไม่หัก

4-3 เทรนต์ วอลเล่ย์.. เต็มสิบไม่หัก

ตังกุย


ที่มาของภาพ : Gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport