ถ้าจะมีสิ่งใดที่น่าผิดหวังสำหรับทีมจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีกตอนนี้ ก็คงเป็นสกอร์ที่ออกมาดูเบียดเกินไป พวกเขาควรจะกะซวกตาข่าย วูล์ฟแฮมป์ตัน ขาดลอยตั้งแต่ครึ่งแรกด้วยซ้ำ
"Top Of The League, Top Of The League" ดังขึ้นเป็นจังหวะพอสกอร์ขยับนำ 2-0 หลังเกมเพิ่งเริ่มมาได้ไม่ถึง 15 นาทีเลย
ลูกนั้นเป็นประตูที่สวยสุดในซีซั่นนี้ของ อาร์เซน่อล ก็ได้ บอลที่ถ่ายไปถ่ายมาถึง 18 ครั้งก่อนจบด้วยปลายสตั๊ดของ มาร์ติน โอเดอการ์ด
การออกสตาร์ทเกมได้เร้าใจแบบนี้ก็ย่อมมองได้ว่าสกอร์ควรไหลเหมือนช่วงมิดวีกใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ต้อนล็องส์จากฝรั่งเศสไปครึ่งโหล ถึงกระนั้นสิ่งที่ปรากฎก็พบว่าพวกเขาละเลยโอกาสที่จะตุนประตูได้เสียให้ได้เยอะๆเผื่อต้องใช้ไปวัดตัดสินตอนท้าย
"สกอร์ควรจะไม่ใช่แบบนี้ พวกเราโชคร้ายเพราะว่ายิงชนเสาถึงสามครั้ง ซึ่งนั่นทำให้เราเองต้องมากดดันหลังจากเสียประตูให้คู่แข่งไป แต่สุดท้ายผมก็พอใจกับชัยชนะในวันนี้" มิเกล อาร์เตต้า พูดสรุปภาพรวมของเกม
แน่นอนในโลกของลูกหนังแล้วไม่มีอะไรสำคัญกว่าคำว่าชนะ
ยิ่งในวันที่อากาศหนาวสะท้านเท่ากับจุดเยือกแข็ง หันไปทางไหนก็เจอแต่คนใส่หมวกไหมพรม, ผ้าพันคอและถุงมือเข้าสนาม หากอีกนั่นเองพลพรรค ปืนใหญ่ ไม่ควรทำให้ตัวเองมาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากในเกมที่ตะบันแข้งกันจนถึงนาที 99 เลย
ความเฉียบขาดในการปิดจ็อบถือเป็นข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขโดยเฉพาะพิจารณาว่ามี แมนฯซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล เป็นสองทีมที่แย่งแชมป์
อย่างไรก็ตามมันก็มีเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมผลงานเกมรุกของ อาร์เซน่อล ถึงไม่ดุดันเท่าฤดูกาลที่ผ่านมา ข้อสำคัญก็อยู่ตรงว่านาทีนี้ใครก็ยำเกรงทีมของ อาร์เตต้า พวกเขาแสดงให้เห็นแล้วว่ามันใช่เรื่องบังเอิญที่โผล่มาท้าทายอำนาจจากทีมเรือใบ
มีสถิติหนึ่งอ้างอิงไว้ว่าซีซั่นก่อนพวกเขายิงคู่แข่งใน 20 นาทีแรกได้ถึง 19 ครั้ง แต่มาซีซั่นนี้ก่อนเกมกับ วูล์ฟ เมื่อวันเสาร์ทำได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น
"นั่นสะท้อนมาจากการที่ใครมาเจอพวกเราก็ล้วนแต่ตั้งรับลึก วันนี้การที่เราทำได้สองลูกต้นเกมจึงเป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมแฮปปี้" อีกประโยคจาก อาร์เตต้า ในเพรส คอนเฟอเรนซ์
ช่วงนี้ของปีที่แล้วก็เป็นอาร์เซน่อลที่ผงาดนำจ่าฝูง ทว่าข้อแตกต่างอยู่ตรงเสียงจากรอบนอกที่อื้ออึงในทำนอง "เดี๋ยวก็ตกลงมา มันแค่ม้าตีนต้นทั่วไป"
สังเกตให้ดีวิธีการเล่นในปีนี้ก็เปลี่ยนไปโดยอาร์เตต้าไม่ได้ดื้อดึงที่ว่าจะต้องชนะแบบเพอร์เฟกต์เหมือนเดิมอีกแล้ว ดังนั้นก็มีบางเกมที่เราจะได้ยินศัพท์ 'Boring Boring Arsenal' กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง (ศัพท์นี้โด่งดังในยุค จอร์จ เกรแฮม คุม)
มันจำเป็นแค่ไหนที่ต้องไล่ต้อนคู่แข่งตั้งแต่ต้นจนจบ
บทเรียนจากท้ายซีซั่นที่แล้วได้สอนให้ อาร์เตต้า เข้าใจว่าในบางครั้งการเล่นเพื่อให้ได้ผลการแข่งขันต้องการต่างหากสำคัญที่สุด ย้อนไปสมัย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังปกครอง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เป็นเช่นนั้น มีเยอะไปที่ทำทีมเพื่อเป้าหมาย ไม่ใช่มัวแต่เอนเตอร์เทน
กำลังเข้าสู่คริสต์มาสอันเป็นช่วงท้าทายใครก็ตามที่นำจ่าฝูงว่าดีพอแค่ไหน อย่างหนึ่งขุมกำลังในตอนนี้ของ กันเนอร์ส ถือว่ากลับมาพร้อมหน้า ยิ่งในแนวรุกด้วยแล้วอยู่กันครบถ้วนเลยไล่ตั้งแต่ โอเดอการ์ด, บูกาโย่ ซาก้า, กาเบรียล เชซุส, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่และ เลอันโดร ทรอสซาร์ ขณะที่ออพชั่นบนม้านั่งข้างสนามยังมี เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ กับ ไค ฮาเวิร์ตซ์ อีกต่างหาก
ในเดือนสุดท้ายของปีนี้พวกเขามีงานยากที่ต้องไปเยือน แอสตัน วิลล่า กับ ลิเวอร์พูล รออยู่ สองเกมนี้ถือเป็นด่านทดสอบต่อคำว่า "คุณดีแค่ไหน?"
มันก็ย่อมเร็วไปแน่ที่จะสรุปชี้ชัดว่า อาร์เซน่อล ชุดนี้จะจบลงตรงไหน
อย่างหนึ่งที่เราสามารถบอกได้...พวกเขามีพัฒนาการขึ้นจากซีซั่นที่แล้วทั้งแง่ของตัวผู้เล่นกับประสบการณ์
พลิกดูพงศาวดารลูกหนังผู้ดีแล้วจ่าฝูงตอนต้นธันวาย่อมไม่มีความหมายนักหรอกแต่อย่างน้อยก็ชัดเจนว่ามันคงไม่มีแค่ม้าสองตัวที่วิ่งเบียดกันอย่างที่บางคนเชื่อ
เพราะมีม้าตัวที่สามที่รอโอกาสอยู่...
"ไก่ป่า"